นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กล่าวตอนหนึ่งในรายการ “คุยกับเศรษฐา” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย วันนี้ (22 มิถุนายน 2567) ถึงการเดินทางไปต่างประเทศ ว่า ได้เดินทางไปมาแล้ว 15 ครั้ง กว่าครึ่งเป็นการเดินทางที่จำเป็น เป็นเรื่องของการไปอาเซียน-ญี่ปุ่น การไปแนะนำตัว หรือว่าไปจีน หรือว่าไปกัมพูชา ไปสิงคโปร์ ไปมาเลเซีย ไปออสเตรเลีย เ ซึ่งจะไม่ไปนั้นไม่ได้ หรือการไปศรีลังกา มีการเซ็นสัญญา FTA ซึ่งรัฐบาลเดิมทำไว้แล้ว ก็ไปเป็นเกียรติ ไปงานลงนาม ซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
“ต้องยอมรับว่าในรัฐบาลก่อน เรื่องของลำดับความสำคัญของเขา อาจจะทำเรื่องอื่นที่เขาเห็นความสำคัญมากกว่า แต่ตอนนี้มาถึงตรงนี้ เรื่องการค้าระหว่างประเทศ เรื่องภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้การลงทุนข้ามชาติมาที่ไทยเป็นเรื่องที่สำคัญ ถ้าเราไม่ไปเชื้อเชิญและไปบอกเขาว่าประเทศไทยเปิดแล้ว ไม่มีเวลาไหนที่จะดีเท่าเวลานี้ที่มาลงทุนที่ประเทศไทย แล้วการลงทุนกลับมาแต่ละครั้งเป็นหมื่นล้านเป็นแสนล้าน ซึ่งแน่นอนว่ายังไม่เกิดขึ้น อาจจะอยู่ขั้นตอนการพิจารณา” นายกฯ ระบุ
นายกฯ ยอมรับว่า การลงทุนบางอย่างอาจจะเกิด บางโครงการเกิดแน่ ๆ หรือบาองโครงการก็ไม่แน่ว่าจะเกิด หรือบางโครงการไม่เกิดก็มี แต่ว่าการทำงานของรัฐบาลต้องทำทั้งหมดทุกประเทศ ต้องไปทุกบริษัทที่มีศักยภาพมาลงทุนในประเทศไทยได้ ถือว่าเป็นเรื่องที่เป็นหน้าที่ของตนเองในฐานะนายกรัฐมนตรี
ส่วนจุดยืนการทูตของไทยว่า เราไม่เป็นคู่ขัดแย้งกับประเทศไหน การเดินทางไปต่างประเทศมาจากการลงทุน จาก EU หรือจากออสเตรเลีย หรือจากจีน หรือจากสหรัฐอเมริกา ทุกประเทศอยากมาลงทุนประเทศไทย ถึงแม้จะมีคู่ขัดแย้งกันเองก็ตามที เพราะเขามั่นใจว่าประเทศไทยจะให้ความเป็นธรรมกับทุก ๆ ฝ่าย ถ้าเกิดมีปัญหาเกิดขึ้น ฐานผลิตของเขา Supply chain ของเขาไม่ถูกขัด อันนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก และทุกคนก็ให้ความมั่นใจกับประเทศไทย
ทั้งนี้เชื่อว่าการเดินทางไปต่างประเทศนั้น ส่วนหนึ่งนำมาซึ่งความมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของคนไทย จากการลงทุนที่ต่างชาติเขาจะมาขยายการลงทุนที่ประเทศไทย แต่ว่าทุก ๆ อย่างใช้เวลา อย่างเช่น เราจะเปลี่ยนจากอุตสาหกรรมที่มีกำไรน้อยไปสู่อุตสาหกรรมกำไรสูง ไม่ได้สร้างได้ภายในวันเดียว ต้องมีวิธีการหลาย ๆ อย่าง
โดยเร็ว ๆ นี้ จะประชุมกับรัฐมนตรีกระทรวง อว. เรื่องของการที่เราจะต้องยกระดับ Skillsets ของ Worker ไทย เรื่องของการที่สถาบันอุดมศึกษาของไทยมี Arrangement กับบริษัทยักษ์ใหญ่ มี Training program แทนที่จะเทรนกันแค่สามเดือน เขาขอร้องให้ อว. ออกมาเลย เทรนมาเลยเก้าเดือน ปีหนึ่ง แล้วก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของ Curriculum ด้วย
ด้านการลงพื้นที่ตรวจราชการในหลาย ๆ พื้นที่นั้น นายกฯ ยอมรับว่า การไปตรวจราชการตามสถานที่ต่าง ๆ และนโยบาย Aviation Hub เป็นหนึ่งในนโยบายเรือธงของรัฐบาล โดยรัฐบาลพร้อมผลักดันการพัฒนาสนามบินสุวรรณภูมิหลังจากได้เปิดโซนหนึ่ง และโซนสองไปแล้ว และการดำเนินการรันเวย์สามจะเสร็จสิ้นเร็ว ๆ นี้
ขณะที่เรื่องของการท่องเที่ยว นายกฯ ระบุว่า ถือเป็นนโยบายเรือธงของรัฐบาล และจะมีนักท่องเที่ยวเพิ่มเข้ามาอย่างมโหฬาร ซึ่งการเดินทางก้าวแรกที่เขาเข้ามาเหยียบแผ่นดินไทยเขาต้องมีความสุข ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการตรวจคนเข้าเมือง ต้องไม่เข้าคิวนาน เรื่องกระเป๋า เรื่องแท็กซี่ที่มารับ
นายกฯ กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาตอนเป็นผู้บริหารของบริษัทเอกชน กับตอนเป็นนายกรัฐมนตรีว่า ต่างกัน สภาพแวดล้อมต่างกันพอสมควรเหมือนกัน ในส่วนภาคเอกชน ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทางธุรกิจก็แตกต่างกันออกไป ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในภาครัฐบาลก็มีเยอะกว่า เพราะฉะนั้นต้องดูให้ครบทุกหมู่เหล่าจริง ๆ เรื่องของความระมัดระวัง ทางด้านขั้นตอนต่าง ๆ ในการทำงาน ก็มีกลไกทางราชการ ซึ่งเราต้องเคารพ มีองค์กรอิสระตรวจสอบก็มาก
“เราต้องมั่นใจว่า ทุกอย่าง ทุกการกระทำของเราถูกต้อง เป็นไปตามกฎระเบียบ แต่ก็มามองว่าความเดือดร้อนไม่คอยท่า ต้องการการบริหารจัดการออกไป แต่ระหว่างทาง ก่อนที่จะมีอะไร ก็อาจจะมีมาตรการระยะสั้น หรือชั่วคราว ที่พยุงปัญหาไปได้บ้าง บางทีปัญหาก็ไม่สามารถแก้ได้ด้วยอะไรที่รวดเร็วทันใจอย่างเดียว ซึ่งมีหลายขั้นตอน เพราะเป็นระบบราชการ ซึ่งถ้าเรามาอยู่ตรงนี้เราก็ต้องยอมรับตรงนี้”
นายกฯ กล่าวถึงการปูพื้นฐานอีก 3 ปีจากนี้ประเทศไทยจะเป็นอย่างไรว่า จริง ๆ แล้วประเทศไทย เหมือนกับเป็นประเทศที่มีศักยภาพสูงมาก เหมือนรถที่ยังไม่วิ่งเต็มสูบ เหมือน Ferrari 12 สูบ แต่วิ่งอยู่แค่ 6 - 7 สูบเท่านั้น แล้ว 6 - 7 สูบเราก็เดินหน้ากันเต็มที่ แต่เราก็ต้องค่อย ๆ ทำกันไป เพราะอย่างที่บอกมีหลายเรื่อง ไม่ใช่ทำเองได้ ตัดสินใจภายในคนเดียวได้ มีทั้งพรรคร่วมรัฐบาล มีฝ่ายตรวจสอบ มีทั้งรัฐสภา มีทั้งข้าราชการ มีทั้งเอ็นจีโอ
โดยที่ผ่านมารัฐบาลได้เริ่มต้นทำการค้นคว้าให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำความเข้าใจกับประชาชน ว่านี่คือเรื่องที่เรากำลังดูอยู่ และก็มีหลาย ๆ เรื่อง เช่น Entertainment complex ซึ่งเป็นธุรกิจสีเทาดำ อยู่ใต้ดินเป็นล้านล้าน เราจะยอมให้มีธุรกิจแบบนี้อยู่ต่อไปหรือ หรือเราจะยกมาบนดิน ก็ยอมรับไปแล้วก็เก็บภาษีให้ถูกต้อง และควบคุมด้วยความประพฤติ ควบคุมเรื่องอาชญากรรมได้ ตนเองคิดว่าถึงเวลาหรือยังที่ประเทศต้องยอมรับเรื่องพวกนี้ ประเทศอื่นเขาก็มีแล้ว