สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กำลังจะมีการเลือกตั้งประธานส.อ.ท.คนใหม่ในวันที่ 25 มี.ค.2567
ทั้งนี้ เนื่องจากนายเกรียงไกร เธียรนุกูล ประธานส.อ.ท. กำลังจะหมดวาระสมัยที่ 1 ซึ่งในภาวะปกติจะมีธรรมเนียมให้ประธานส.อ.ท.ดำรงตำแหน่ง 2 วาระ รวม 4 ปี
โดยการเลือกตั้งครั้งนี้นายเกรียงไกร ยังคงเสนอตัวเป็นประธานส.อ.ท.อีก 1 สมัย
อย่างไรก็ดี มีสมาชิกส.อ.ท. บางส่วนได้เสนอชื่อนายสมโภชน์ อาหุนัย รองประธานส.อ.ท.และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรืออีเอ (EA) เป็นแคนดิเดตประธานส.อ.ท. อีก 1 ราย
ขณะที่นายสมโภชน์เองก็มีการประกาศเปิดตัวเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานส.อ.ท.อย่างเป็นทางการไปแล้วเมื่อวันที่ 2 มี.ค. 67 ที่ผ่านมา
ทำให้การเลือกตั้งประธานส.อ.ท.คนใหม่อุณหภูมิร้อนระอุขึ้นมาทันที โดยมีกระแสมองไปถึงความขัดแย้งที่เกิดขึ้นภายในหรือไม่
อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งภายในส.อ.ท. ใช่ว่าจะไม่เกิดขึ้น โดยจากการตรวจสอบของ "ฐานเศรษฐกิจ" พบว่า
เมื่อปี พ.ศ. 2555 เกิดเหตุการณ์ความไม่เป็นเอกภาพในส.อ.ท. และความไม่พอใจของสมาชิกบางส่วนที่มีต่อตัวประธานสภาอุตสาหกรรม ซึ่ง ณ เวลานั้นคือ พยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล
ประกอบกับผลของนโยบายรัฐ ที่กระทบกับผู้ประกอบการ ทำให้มีการเตรียมการปลดประธานและกรรมการบริหาร 70 คนออกจากตำแหน่ง โดยตอนนั้นนายพยุงศักดิ์ ได้ส่งหนังสือเวียนถึงกรรมการ ส.อ.ท. แจ้งเลื่อนการประชุมประจำเดือนที่นัดหมายไว้ในวันที่ 26 พฤศจิกายน โดยอ้างความไม่สะดวกจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง และข้อห่วงใยจากผู้อาวุโสที่ไม่ต้องการให้ความขัดแย้งภายในองค์กรบานปลาย
แต่เลขาธิการสภาอุตสาหกรรม นายสมมาต ขุนเศษฐ ยืนยันว่ายังมีการประชุมคณะกรรมการสภาฯ ตามเดิม และการเลื่อนประชุมของประธานไม่เป็นไปตามข้อบังคับของสภาอุตสาหกรรม
นำไปสู่แถลงข่าวของทั้ง 2 คนพร้อมผู้สนับสนุนจึงเกิดขึ้นในวันที่ 25 พ.ย.55 โดยใช้โรงแรมแห่งเดียวกัน ในเวลาไล่เลี่ยกัน แต่ต่างห้องกัน เพื่อตอบโต้กันถึงการเลื่อนหรือไม่เลื่อนการประชุม
นายพยุงศักดิ์ ระบุในเวลานั้นว่า ในเรื่องของการบริหาร จะมีอำนาจหน้าที่ของประธานสภาอุตสาหกรรม และการบริหารต้องมีการตัดสินใจ ดูปัญหาต่างๆให้สอดคล้องกับการทำงาน ดังนั้นคำสั่งของประธานฯ ถือเป็นคำสั่งสูงสุด
ขณะที่นายสมมาต ระบุว่า การที่จะมีใครมาสั่งให้เลื่อน หรือยกเลิกการประชุมถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามกฎหมายของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ดังนั้น ในฐานะเลขาฯ ตนขอปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย คือยังยืนยันที่จะจัดให้มีการประชุมคณะกรรมการสภาฯ ในวันที่ 26 พ.ย. นี้ ในเวลา 15.00 น. ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
ความไม่พอใจของสมาชิกสภาอุตสาหกรรมบางส่วนต่อบทบาทหน้าที่ประธานของ นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล เกิดขึ้นตั้งแต่การดำรงตำแหน่งประธานสมัยแรก โดยนโยบายปรับค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาทของรัฐบาล เป็นชนวนเหตุสำคัญที่ทำให้นายพยุงศักดิ์ ถูกกล่าวหาว่าเพิกเฉยต่อผลกระทบที่กำลังเกิดขึ้นกับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมในช่วงที่ผ่าน
ความขัดแย้งใน ส.อ.ท. ดูจะไม่มีใครยอมถอยให้ใคร กระทั่งวันที่ 26 พ.ย. 2555 การประชุมคณะกรรมการบริหารสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยหรือ ส.อ.ท.( กส.) ที่มีผู้เข้าประชุมรวม 182 คน โหวตให้นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล พ้นจากประธานส.อ.ท.ด้วยคะแนน 139 เสียงพ่วงด้วยการโหวตคณะกรรมการบริหาร (กบ.) 70 คนพ้นสภาพไปด้วย
พร้อมกับเลือกนายสันติ วิลาสศักดานนท์ มาเป็นประธานคนใหม่แทน จากนั้นในวันที่ 2 ธ.ค. 2555 นายสันติได้เซ็นแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารชุดใหม่จำนวน 54 คนเพื่อที่จะเข้ามาทำงานในการขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมไทยให้ก้าวไปข้างหน้า
เมื่อพิจารณาหน้าตากรรมการบริหารหลายคนก็เป็นไปตามที่คาดคิด ทั้งนายธนิต โสรัตน์ ที่มารับหน้าที่เป็นเลขาธิการส.อ.ท. ,นายสมมาต ขุนเศษฐ เป็นรองส.อ.ท. ,นายสุชาติ วิสุวรรณ รองประธานอาวุโส และนายทวีกิจ จตุรเจริญคุณ รองประธาน
แต่ประเด็นที่ต้องมาสะดุดก็คือกับรายชื่อคนในเครือบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) อย่าง นายวีรศักดิ์ โฆสิตไพศาล และนายบวร วงศ์สินอุดม ที่เข้ามาเป็น รองประธานรวมถึง นายศุภรัตน์ ศิริสุวรรณางกูร จากค่ายรถโตโยต้า นางปิยะนุช มาลากุล ณ อยุธยา จากบ.ซี.พี.อินเตอร์เทรด ที่มีชื่อมาเป็นรองประธานเช่นกัน
การเปิดตัวทีมบริหารงานชุดของนายสันติ วิลาสศักดิ์นนท์ ซึ่งมีดีกรีเป็นบิ๊กผู้บริหารในเครือสหพัฒน์เป็นการเปิดกระดานท้าชน หลังจากที่ข่าวความขัดแย้งส.อ.ท.ดูจะเงียบหายไปจากหน้าสื่อต่างๆเวลานั้นอยู่ 3-4 วันช่วงต้นเดือนธ.ค.
โดยต่อมาได้ถูกเฉลยขึ้นจากกลุ่มผู้สนับสนุนนายสันติ ที่นำโดยนายธนิต โสรัตน์ เดินทางมายื่นเอกสารที่เป็นลายลักษณ์อักษรให้กับกระทรวงอุตสาหกรรมเกี่ยวกับขั้นตอนการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 26 พ.ย. 2555 ว่า ที่ต้องเงียบเพราะผู้ใหญ่จากรัฐบาลขอมา และได้ประสานที่จะให้ 2 ฝ่ายหารือกันโดยนัดพบไปที่จังหวัดเชียงใหม่เมื่อวันที่ 2 ธ.ค.แต่ปรากฏว่านายพยุงศักดิ์ไม่ยอมเดินทางไปไกล่เกลี่ย
ด้านนายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล หลังจากที่เปิดทำงานหลังหยุดวันพ่อ 5 ธ.ค. 2555 ฝ่ายพีอาร์ได้ร่อนข่าวแจกมายังสื่อมวลชน โดยอ้างการประชุมคณะกรรมการสายงานอุตสาหกรรมวาระพิเศษ 4 ธ.ค. 2555 ว่ากลุ่มอุตฯ 39 กลุ่มจาก 42 กลุ่มของส.อ.ท.มีมติสนับสนุนการทำงานของตนให้เป็นประธาน ส.อ.ท.ต่อจนครบวาระมี.ค. 2557 และยังมีเสียงสนับสนุนจากสภาอุตสาหกรรมจังหวัดโดยเบื้องต้นมีมากกว่า 10 จังหวัด อาทิ สระบุรี ระยอง สมุทรปราการ กระบี่ พังงาน สงขลา ปัตตานี ฯลฯ
ความขัดแย้งของทั้งคู่ดูจะกลับมาร้อนแรงอีกครั้ง แม้หลายฝ่ายจะมองไปที่ความหวังของคณะทำงานด้านกฎหมายกระทรวงอุตสาหกรรมที่นายประเสริฐ บุญชัยสุข รมว.อุตสาหกรรมมอบให้นายวิฑูรย์ สิมะโชคดี ปลัดอุตสาหกรรมเป็นประธานในฐานะที่กระทรวงอุตสาหกรรมรักษาการตามพ.ร.บ.ส.อ.ท. ปี 2531 ไปดูในแง่กฎหมายเพื่อชี้ขาดว่าใครผิดถูก
แต่นายวิฑูรย์เองก็เริ่มเสียงเบาในแง่ที่ยังไม่แน่ใจว่ากฎหมายให้อำนาจชี้ขาดได้มากน้อยเพียงใด และยืนยันว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่เคยยุ่งเรื่องความขัดแย้งภายในองค์กรส.อ.ท.เลยจึงเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ดังนั้นอำนาจชี้ขาดแท้จริงจึงน่าจะอยู่ที่ตัวนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ในฐานะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมตัวจริงหรือไม่
ในเวลานั้นหากมองรอบด้านไม่ว่าจะฝ่ายไหนต่างก็มีการเมืองเป็นตัวกลางที่จะหาทางเคลียร์ เพราะงานนี้วัดกันที่ศักดิ์ศรีและขุมทรัพย์ใน ส.อ.ท. ที่ประธานจะสามารถเข้าไปนั่งเป็นคณะกรรมการต่างๆมากมาย ทั้งทางตรงและอ้อมและบอร์ดหลายแห่งก็ล้วนแต่เป็นการกำหนดทิศทางนโยบายเศรษฐกิจของชาติ ซึ่งเป็นข้อมูลอินไซด์ที่จะได้รู้กันล่วงหน้าและร่วมกำหนดทิศทางอนาคตประเทศ
กระทั่งนายสันติ ได้ตัดสินใจไขก๊อกออกจากประธานส.อ.ท. ทำให้ความขัดแย้งสงบลง
ความขัดแย้งการเลือกตั้งประธาน ส.อ.ท. ปะทุขึ้นอีกครั้งในปี 2561 ระหว่างนายเจน นำชัยศิริ ประธานส.อ.ท.ที่กำลังจะครบวาระ กับ นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานกิตติมศักดิ์ ส.อ.ท. ที่จะแข่งขันกันชิงประธาน ส.อ.ท. โดยนายเจนจะลงสมัครต่ออีกวาระหนึ่ง และมีทีมนายสุพันธุ์ ได้รับการสนับสนุนจากผู้ประกอบการในต่างจังหวัดอย่างมาก
แต่นายเจน ไม่ต้องการให้เกิดการแข่งขันเช่นอดีตที่ทีมไหนแพ้ก็จะไปหมดไม่อยู่ทำงานร่วมกัน จึงประกาศที่จะไม่รับการเสนอชื่อเข้าชิงตำแหน่งประธาน ส.อ.ท.ต่ออีกวาระหนึ่ง จึงทำให้นายสุพันธุ์ นั่งเก้าอี้ประธาน ส.อ.ท. อีกครั้ง จากก่อนหน้านี้ที่เคยเป็นวาระปี 2557-59 นั้น โดยเวลานั้นเป็นที่น่าจับตาว่านอกเหนือจากนโยบายที่จะเข้ามาผลักดันและสนับสนุนเอสเอ็มอีตามนโยบายของรัฐบาลโดยเฉพาะกระทรวงอุตสาหกรรมแล้ว ส่วนหนึ่งจะยังเข้ามาแก้ไข พ.ร.บ.ส.อ.ท.ที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งใหม่เพื่อลดความขัดแย้งในองค์กร เพื่อให้การทำหน้าที่ใกล้ชิดกับรัฐบาลในการผลักดันเศรษฐกิจมีประสิทธิภาพในระยะยาว
ส่วนศึกชิงประธานส.อ.ท.ระหว่างนายเกรียงไกร และนายสมโภชน์จะออกมาอย่างไร ฐานเศรษฐกิจ จะเกาะติดและนำมารายงานให้ทราบใกล้ชิด