นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า ขณะนี้ สหภาพยุโรป (EU) ได้ออกมาตรการต่อการค้าสินค้าเพชรจากรัสเซีย หลังคณะกรรมาธิการยุโรป ได้ออก Council Decision (CFSP) 2023/2874 กำหนดให้สมาชิก EU ห้ามการนำเข้า การซื้อขายหรือการโยกย้ายเพชรจากรัสเซีย ครอบคลุมเพชร (เกรดอัญมณี) เพชรสังเคราะห์ และเครื่องประดับเพชร ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการผลิตและส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยไปยัง EU ได้
สำหรับมาตรการต่อการค้าสินค้าเพชรจากรัสเซีย จะเริ่มมีผลบังคับใช้แบ่งเป็น 2 ระยะ ดังนี้
ระยะแรก จะเริ่มใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป ครอบคลุมเพชรที่มีถิ่นกำเนิดในรัสเซีย เพชรที่ส่งออกจากรัสเซีย และเพชรที่นำผ่านรัสเซีย
ระยะที่สอง ครอบคลุมเพชรของรัสเซียที่ผ่านขั้นตอนการผลิตจากประเทศอื่น โดยให้มีระยะเวลาการปรับใช้มาตรการ (phasing-in) สำหรับระยะดังกล่าวในการกำหนดวิธีการที่เหมาะสมในการตรวจสอบแหล่งที่มาของเพชร ระหว่างวันที่ 1 มีนาคม - 1 กันยายน 2567 เพื่อให้การใช้บังคับมาตรการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับผู้ประกอบการ
ทั้งนี้ในปัจจุบันสินค้ากลุ่มอัญมณีและเครื่องประดับ ถือเป็นสินค้าส่งออกอันดับ 3 ของไทย โดยในปี 2566 ช่วงเดือนมกราคม-ตุลาคม การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย (ไม่รวมทองคำ) มีมูลค่า 7,391.86 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับกลุ่มสินค้าเพชรมีมูลค่าการส่งออก 1,112.03 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยตลาดหลักในสหภาพยุโรป คือ เบลเยียม
ดังนั้น ผู้ประกอบการที่ประสงค์จะส่งออกเพชรเกรดอัญมณี ทั้งที่เจียระไนแล้วและยังไม่ได้เจียระไน เพชรสังเคราะห์ และเครื่องประดับเพชรไปยังสหภาพยุโรป จึงต้องตรวจสอบที่มาของวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตเพื่อปรับตัวและรองรับมาตรการดังกล่าวด้วย
นายรณรงค์ กล่าวว่า ไทยเป็นประเทศที่ไม่มีเหมืองเพชร จึงต้องพึ่งพาการนำเข้าเพชรจากต่างประเทศเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ โดยกรมฯ เป็นส่วนหนึ่งในการรับรองแหล่งที่มาของเพชรที่ยังไม่ได้เจียระไนภายใต้กรอบความตกลง Kimberley Process
โดยผู้ประกอบการที่จะส่งออกเพชรที่ยังไม่ได้เจียระไนเกรดอัญมณีตามพิกัดอัตราศุลกากร 7102.31 สามารถขอหนังสือรับรองการส่งออกเพชรที่ยังไม่ได้เจียระไนจากกรมการค้าต่างประเทศเพื่อใช้เป็นเอกสารประกอบการส่งออกไปยังสหภาพยุโรปเพื่อแสดงแหล่งที่มาของเพชรร่วมกับเอกสารหลักฐานอื่นใดอีกทางหนึ่งได้