มองเศรษฐกิจโลก-เศรษฐกิจไทย ท่ามกลางสัญญาณร้ายกดดัน

02 มิ.ย. 2566 | 17:05 น.

มองเศรษฐกิจโลก-เศรษฐกิจไทย ท่ามกลางสัญญาณร้ายกดดัน ผ่านมุมมอง SCB EIC เเล้วเราจะอยู่อย่างไรบนโลกที่เต็มไปด้วย "สถานการณ์เลวร้าย"

ปี 2566 หลายคนหวังว่าอะไรๆ จะเปลี่ยนแปลง ตั้งแต่ว่าโควิดจะหายไป เศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัว แต่ถ้าบอกว่าความหวังนั้นอาจถูกสั่นคลอนไปบ้างก็คงไม่ผิดเท่าไหร่ เพราะไม่ใช่แค่ปีนี้ แต่หลายปีที่ผ่านมาหากสังเกตดีๆ เศรษฐกิจโลกเผชิญกับ “สถานการณ์เลวร้าย” ที่เกิดบ่อยและรุนแรงขึ้นเข้ามากดดันกว่าแต่ก่อนเยอะมาก ซึ่งผลกระทบเหล่านี้สะท้อนถึงความปั่นป่วนที่เกิดขึ้นทั่วโลก  

คำถามที่ตามมาคือ เศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจไทย มีเรื่องไหนบ้างที่ต้องจับตา อะไรคือโอกาสและความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกในปีนี้ และแนวโน้มเศรษฐกิจไทยจะเป็นอย่างไร ที่สำคัญ “เราจะอยู่อย่างไรบนโลกที่เต็มไปด้วย “สถานการณ์เลวร้าย” แบบนี้

ข้อมูลที่น่าสนใจที่ตอกย้ำถึงเรื่องนี้จาก SCB EIC โดยนำดัชนี World Uncertainty Index ที่สะท้อนถึง ความไม่แน่นอนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทั่วโลก ทั้งจากสงคราม (สงครามอิรักและสงครามยูเครน) ภัยธรรมชาติ โรคร้าย (COVID-19) ไปจนถึงวิกฤตทางเศรษฐกิจ

มองเศรษฐกิจโลก-เศรษฐกิจไทย ท่ามกลางสัญญาณร้ายกดดัน

สถานการณ์เลวร้ายส่งผลให้เศรษฐกิจโลกผันผวนขึ้น แสดงจากค่าดัชนีสะท้อนความผันผวนของอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น หรือประเทศกำลังพัฒนา เช่น มาเลเซียและไทย ต่างก็เผชิญกับความผันผวนที่เพิ่มสูงขึ้น 

นอกจากนี้สถานการณ์เลวร้ายยังส่งผลกระทบรุนแรงขึ้นด้วย จากค่าประมาณของอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในกรณีเลวร้าย โดยจะเห็นว่าเศรษฐกิจมีโอกาสหดตัวได้ลึกขึ้นในหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา เกาหลีใต้ และไทย เเต่หากเกิดสถานการณ์เลวร้าย เศรษฐกิจไทยอาจหดตัวได้เกือบ -4.0% เทียบกับเมื่อ 20 ปีที่แล้วที่เศรษฐกิจไทยอาจหดตัวไม่ถึง 1% 

มองเศรษฐกิจโลก-เศรษฐกิจไทย ท่ามกลางสัญญาณร้ายกดดัน

เกิดอะไรขึ้น หากสถานการณ์เลวร้ายขยายตัวบน

เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์เลวร้ายมากขึ้น เพราะมีความเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลกมากขึ้น โดยเฉพาะความเชื่อมโยงผ่านห่วงโซ่อุปทานการผลิตโลก สะท้อนผ่านมูลค่า GDP ที่เศรษฐกิจไทยจะสูญเสียไป หากความต้องการซื้อจากเศรษฐกิจคู่ค้าลดลง 1%

ภาพด้านล่าง ทำให้เราเห็นว่าในปี 2015 หากเศรษฐกิจจีนชะลอตัว -1% จะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยชะลอตัวตาม -0.2% เพิ่มขึ้นจากปี 2005 เกือบ 3 เท่าเลยทีเดียว 

โดยเฉพาะผลกระทบที่ส่งต่อและขยายตัวบนห่วงโซ่อุปทานโลกที่รุนแรงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ การส่งผ่านผลกระทบจากการหดตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ผ่านห่วงโซ่อุปทาน ก็มีน้ำหนักมากเช่นกัน

มองเศรษฐกิจโลก-เศรษฐกิจไทย ท่ามกลางสัญญาณร้ายกดดัน

เศรษฐกิจไทยยังเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลกผ่านความเชื่อมโยงในตลาดการเงิน

ไม่เพียงเเค่เชื่อมโยงผ่านห่วงโซ่อุปทานโลกแล้ว เศรษฐกิจไทยยังเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลกผ่านความเชื่อมโยงในตลาดการเงิน การเคลื่อนย้ายประชากร ตลอดจนความสัมพันธ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งมีผลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทยอย่างมีนัยสำคัญ การทำธุรกิจในระยะต่อไปจึงต้องเผชิญกับทั้งความไม่แน่นอนและสถานการณ์เลวร้ายที่รุนแรงขึ้น

ความไม่แน่นอนส่งผลต่ออะไรบ้าง

ความต้องการซื้อสินค้าและบริการ

ส่งผลโดยตรงต่อความต้องการซื้อสินค้าและบริการ เนื่องจากครัวเรือนจะเพิ่มความระมัดระวังในการใช้จ่าย 
สอดคล้องกับ David Romer (1990) สันนิษฐานว่า ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจหลังจากวิกฤตตลาดหลักทรัพย์ในปี 1929 ทำให้ความต้องการซื้อสินค้าหดตัวลงในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ในปี 1929-1939 ต่อมา Greasley Madsen and Oxley (2001) พิสูจน์ว่า ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจในช่วงเวลาดังกล่าวเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ความต้องการซื้อในช่วงปี 1930-1931 ดิ่งลง ทั้งสินค้าคงทนและไม่คงทน 

การลงทุนภาคเอกชน

ความไม่แน่นอนส่งผลกระทบต่อการลงทุนภาคเอกชนเช่นกัน Dixit and Pindyck (1994) มองว่า การลงทุนเป็น "ทางเลือก" ที่มีค่าเสียโอกาส เพราะหากธุรกิจเริ่มก่อสร้างอาคารหรือจ่ายเงินซื้อเครื่องจักรไปแล้ว จะไม่สามารถถอยหลังกลับได้โดยง่าย ดังนั้นในภาวะเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนสูง ธุรกิจจึงลังเลที่จะลงทุน 

มีงานศึกษาหลายฉบับที่ทดสอบแนวคิดนี้ หนึ่งในงานที่มีชื่อเสียงคือ Bloom Bond and Reenen (2006) ที่ศึกษาพฤติกรรมการลงทุนเพื่อรองรับความต้องการซื้อสินค้าและบริการ โดยใช้กลุ่มตัวอย่างของธุรกิจในสหราชอาณาจักรจำนวน 672 รายในช่วงปี 1972-1991

การศึกษาพบว่า ธุรกิจจะชะลอทั้งการลงทุนใหม่และการถอนการลงทุนเดิมหากเผชิญกับความไม่แน่นอน อาจกล่าวได้ว่า ความไม่แน่นอนยับยั้งการโยกย้ายทรัพยากรไปยังกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่สร้างมูลค่าเพิ่มได้มากกว่า นอกจากจะจำกัดโอกาสในการเติบโตของธุรกิจแล้ว ยังจำกัดโอกาสเติบโตของระบบเศรษฐกิจโดยรวมอีกด้วย 

นโยบายทางเศรษฐกิจ

เพราะผู้ดำเนินนโยบายจำเป็นต้องปรับนโยบายตามแนวโน้มเศรษฐกิจที่มีความผันผวนสูง คาดการณ์แนวโน้มและประเมินความเสี่ยงเชิงนโยบายได้ยาก จึงทำให้การดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้นตามไปด้วย 

สำหรับกรณีของไทย Apaitan Luangaram and Manopimoke (2022) พบว่า ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมีนัยสำคัญ โดยความผันผวนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์และความไม่แน่นอนของภาวะตลาด ส่งผลกระทบต่อการบริโภคและการผลิต

ขณะที่ความไม่แน่นอนของแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจอธิบายการปรับตัวของการลงทุนภาคเอกชนได้ถึง 25% ในขณะที่ความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจส่งผลกระทบต่อธุรกิจน้อยกว่าความไม่แน่นอนประเภทอื่น 

จะเป็นอย่างไรหากสถานการณ์เลวร้ายเกิดขึ้นจริง

ผลกระทบของสถานการณ์เลวร้ายต่อธุรกิจมักขึ้นอยู่กับธรรมชาติของสถานการณ์ หากกล่าวถึงวิกฤตโรคระบาด เช่น การระบาดของโรคโควิด และมาตรการจำกัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจจะส่งผลลบต่อทั้งยอดขายและต้นทุน 

ฝั่งยอดขาย การจำกัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจส่งผลให้ครัวเรือนมีรายได้ลดลง จึงมีกำลังซื้อน้อยลง อีกทั้งไม่สามารถออกมาซื้อสินค้าและบริการได้ตามปกติ 

ฝั่งต้นทุน โรคระบาดส่งผลให้ธุรกิจขาดแคลนวัตถุดิบหรือต้องซื้อวัตถุดิบในราคาที่สูงขึ้น เพราะห่วงโซ่อุปทานหยุดชะงัก (Supply Chain Disruption) 

วิกฤตสิ่งแวดล้อมอาจปรากฏในรูปแบบของภัยพิบัติทางธรรมชาติหรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระยะยาว ภัยพิบัติทางธรรมชาติสามารถทำลายปัจจัยการผลิตหรือทำให้ห่วงโซ่อุปทานโลกหยุดชะงัก สำหรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระยะยาว Intergovernmental Panel on Climate Change ประเมินว่า อุณหภูมิเฉลี่ยอาจปรับสูงขึ้นถึง 2.5 องศาเซลเซียสภายในปี 2050 ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อปริมาณและผลิตภาพของปัจจัยการผลิตและวัตถุดิบ และจะกดดันให้ราคาปัจจัยการผลิตและวัตถุดิบปรับสูงขึ้น 

เราจะปรับตัวอย่างไรภายใต้โลกที่เปลี่ยนแปลงไป?


1. เข้าใจธรรมชาติของความไม่แน่นอนเพื่อคาดการณ์ล่วงหน้า 

ช่วยให้ธุรกิจสามารถไล่เรียงสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นออกมาได้ครบถ้วน เข้าใจกลไกที่สถานการณ์เลวร้ายส่งผ่านผลกระทบมายังธุรกิจ ธุรกิจจึงสามารถเตรียมแผนงานเพื่อรองรับสถานการณ์เลวร้ายทุกรูปแบบ และสามารถนำแผนมาใช้ได้ทันเวลา

2. ออกแบบการดำเนินธุรกิจให้กะทัดรัดและยืดหยุ่น
ธุรกิจจำเป็นต้องมีความกะทัดรัด นั่นคือจัดลำดับความสำคัญของสายงาน วางกรอบการดำเนินงานอย่างเป็นระบบ และตัดลดกระบวนการที่ไม่จำเป็น เพื่อลดต้นทุน เพิ่มอัตรากำไร และเพิ่มความยืดหยุ่น นั่นคือสามารถโยกย้ายทรัพยากรระหว่างสายงานได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในยามวิกฤต ซึ่งธุรกิจมักเผชิญกับข้อจำกัดในการโยกย้ายทรัพยากรระหว่างสายงาน 

3. ลดการดำเนินงานที่เปิดรับความเสี่ยง
ธุรกิจจึงควรจำกัดผลกระทบโดยการลดทรัพยากรที่จัดสรรไปให้กับ Segment ที่เปิดรับความเสี่ยง โดยเฉพาะ Segment ที่มุ่งสร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดดในระยะสั้น ซึ่งมีโอกาสได้รับผลกระทบจากความผันผวนทางเศรษฐกิจมากกว่า 

4. โยกย้ายทรัพยากรมาลงทุน เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน
เช่น ลงทุนกับการวิจัยพัฒนา พัฒนากลยุทธ์ทางการตลาด หรือควบรวมกิจการที่มีศักยภาพ ทั้งนี้ ธุรกิจควรเริ่มลงทุนตั้งแต่วิกฤตเริ่มก่อตัว จึงจะสามารถเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้พร้อมใช้ ซึ่งจะทำให้ธุรกิจออกตัวเร็วกว่าคนอื่น