"จีนเปิดประเทศ" ฟื้นเศรษฐกิจโลก แล้วตัวเองไปยังไงต่อ?

13 ม.ค. 2566 | 05:10 น.
อัพเดตล่าสุด :13 ม.ค. 2566 | 12:26 น.

จับสัญญาณ จีนเปิดประเทศ แม้ช่วยปลดล็อคชาวจีนมีอิสรภาพใช้ชีวิตมากขึ้น แถมหนุนฟื้นเศรษฐกิจหลายประเทศ แต่สุดท้ายตัวเองอาจต้องคิดหนัก เพราะปัจจัยลบในประเทศยังมีอีกสารพัด

หลังจากจีนผ่อนคลายมาตรการเดินทาง เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2566 ที่ผ่านมา สื่อต่าง ๆ เสนอภาพฝูงชนชาวจีนต่อคิวยาวเหยียด เพื่อเดินทางออกนอกประเทศ ไม่ว่าจะเป็นทั้งทางอากาศ ทางเรือ และทางบก ถือเป็น "อิสรภาพที่ยิ่งใหญ่" ที่ช่วยปลดชาวจีนออกจากพันธนาการที่กักขังพวกเขาไว้ตลอด 3 ปี 

กระทรวงคมนาคมจีน คาดว่าในช่วง 40 วันนับจากวันแรกของการเปิดประเทศจะมีผู้เดินทางมากกว่า 2,000 ล้านคน โดยในปี 2566 จะมีการเดินทางออกนอกประเทศเพิ่มขึ้น 99.5% เมื่อเทียบกับปี 2565 หรือเท่ากับ 70.3% ของการเดินทางในปี 2562 

การผ่อนคลายนโยบาย Zero Covid ของจีน นอกจากเพื่อลดเเรงเสียดทานจากกระเเสต่อต้านนโยบายอันเข้มงวดแล้ว ยังเป็นการเปิดโอกาสให้คนจีนออกไปเที่ยวล้างแค้นหลังอัดอั้นมานานตลอด 3 ปี ชาวจีนโหยหาการออกไปพักผ่อนและท่องเที่ยวต่างประเทศเป็นอย่างมาก

ข้อมูลจากทริปดอทคอม กรุ๊ป (Trip.com group) หมุดหมายปลายทางยอดนิยมของชาวจีนในฝั่งเอเชีย ได้แก่ สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ฮ่องกง ญี่ปุ่น และไทย ซึ่งจะส่งผลให้การท่องเที่ยวของประเทศเหล่านี้ฟื้นตัวเป็นแห่งแรก ๆ ส่วนหมุดหมายที่ไกลออกไป ได้แก่ สหรัฐ สหราชอาณาจักร และออสเตรเลีย 

นอกจากเดินทางเพื่อท่องเที่ยวแล้ว ชาวจีนบางส่วนยังเดินทางเพื่อ ทำธุรกิจ เยี่ยมครอบครัว เรียนหนังสือ หรือรักษาพยาบาล

คำถามสำคัญ คือ ความอัดอั้นจากนโยบายคุมโควิดอันเข้มงวดของรัฐบาลจีนตลอด 3 ปีนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นทำให้ชาวจีนอยากอพยพย้ายถิ่นฐานออกนอกประเทศมากขึ้นหรือไม่ เพราะสิ่งนี้เองจะกระทบต่อเศรษฐกิจจีนในระยะยาวเช่นกัน

เศรษฐีจีนต้องการย้ายถิ่นฐาน

ข้อมูลปี 2022 จีนมีประชากรราว 1,448 ล้านคน อัตราการเกิดในจีนลดลงเรื่อยๆ ทั้งจากนโยบาย 1 ครอบครัวมีลูก 3 คน และค่านิยมที่คนรุ่นใหม่ไม่ประสงค์จะมีลูก ทำให้คนวัยทำงานในจีนลดลง 40 ล้านคนในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โดยแรงงานจีนมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 39 ปี

Henley & Partners บริษัทที่ปรึกษาเกี่ยวกับการย้ายถิ่นฐานการลงทุน ประเมินว่า ปี 2565  มีกลุ่มเศรษฐีกระเป๋าหนักชาวจีนราว 10,000 คน ต้องการย้ายถิ่นฐานออกนอกประเทศ ถือว่าเป็นชนชาติที่ย้ายถิ่นฐานมากที่สุดเป็นอันดับ 2 รองจากรัสเซีย 

การย้ายถิ่นฐานนั้นไม่ไปมือเปล่า พวกเขาย้ายไปพร้อมกับเงินลงทุนราว 4.8 หมื่นล้านดอลลาร์ ที่จะนำไปลงทุนและสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจให้ประเทศปลายทาง  ข้อมูลพบว่า ประเทศที่เป็นที่นิยมสำหรับการย้ายไปตั้งถิ่นฐานใหม่ของชาวจีน คือ สหรัฐฯ สิงคโปร์ ออสเตรเลีย แคนาดา และบางประเทศในยุโรป

การที่คนและเงินทุนไหลออกเป็นความสูญเสียต่อเศรษฐกิจจีนอย่างชัดเจน และเป็นสิ่งที่ท้าทายต่อรัฐบาลจีนว่าจะสกัดกั้นอย่างไร รัฐบาลจีนยังไม่ได้มีมาตรการควบคุมหรือสั่งห้ามใดๆ เกี่ยวกับการย้ายประเทศ แต่อาจมีขั้นตอนที่ใช้เวลายาวนานขึ้นในการจัดการเรื่องของวีซ่า และการจัดเตรียมเอกสารที่ยุ่งยากกว่าเดิม

การเดินทาง ออกนอกประเทศ ของชาวจีน ช่วยต่อลมหายใจให้กับหลายประเทศทั่วโลก ที่เศรษฐกิจจะได้ฟื้นตัวทั้งการท่องเที่ยว และการลงทุน แต่จีนเองอาจต้อง เผชิญกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ลดลง 

ประเมินเศรษฐกิจจีนไม่สดใส

นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจีนช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2566 ลดลง 0.1% -0.4% แม้การคาดการณ์เฉลี่ยสำหรับตลอดทั้งปี 2566 ยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลงไปที่ 5.2% แม้จีนเพิ่งอัดฉีดเงิน 1 ล้านล้านหยวนในกองทุนเพื่อโครงการด้านโครงสร้างพื้นฐาน และธนาคารกลางจีน (PBOC) เพิ่งประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (LPR)

ปัจจัยลบที่มีผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจจีน มาจากสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศ ที่ยังไม่คลี่คลาย  ทำให้ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจและผู้บริโภคจีนชะลอตัวลงอย่างมากในปีนี้ ส่วนปัจจัยนอกประเทศมีทั้งเศรษฐกิจโลกที่เข้าสู่ภาวะถดถอย  และปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่จีนก็มีกรณีกับหลายประเทศเช่นกัน

 ปีนี้เรายังคงต้องจับตามองจีนต่อไป ในฐานะคู่ค้าสำคัญ เพราะจีนเป็นประเทศที่มีบทบาทในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก รวมถึงไทย หากไม่มีจีน เราเองคงต้องหันมาพึ่งพาตัวเองมากขึ้นด้วยสรรพกำลังที่เรามี เพื่อผลักดันเศรษฐกิจให้เติบโต

ไทยเราจะมัวตื่นเต้นกับยอดจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่บินมาบ้านเราอย่างเดียวไม่ได้อีกแล้ว เศรษฐกิจโลกปีนี้ไม่มีอะไรแน่นอน