“Yield Curve Control” คืออะไร หลังธนาคารกลางญี่ปุ่นช็อคตลาดโลก

21 ธ.ค. 2565 | 04:30 น.
อัปเดตล่าสุด :21 ธ.ค. 2565 | 12:26 น.

“Yield Curve Control” คืออะไร หลังธนาคารกลางญี่ปุ่น หรือ BoJ ปรับนโยบายช็อคตลาดโลก โดยขยายกรอบการเคลื่อนไหวอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวเพิ่ม 0.50%

"ความผันผวนในตลาดการเงินปรากฏให้เห็นชัดเจนมากขึ้นตั้งแต่ช่วงฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมา ด้วยเหตุนี้เราจึงตัดสินใจขยายกรอบอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีให้สูงขึ้นจากระดับเดิมที่ +0.25% ซึ่งเป็นกรอบที่ทำให้เส้นอัตราผลตอบแทนบิดเบือนไปจากปัจจัยพื้นฐานของตลาด เราได้ตัดสินใจแล้วว่าขณะนี้เป็นเวลาที่เหมาะสมที่เราจะแก้ไขภาวะบิดเบือนนั้น และปรับปรุงกลไกตลาดให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น" 

 

นี่คือสิ่งที่ นายฮารุฮิโกะ คุโรดะ ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) กล่าวต่อสื่อมวลชน 

การปรับมาตรการ Yield Curve Control ของ ธนาคารกลางญี่ปุ่น ส่งผลให้ตลาดกังวลถึงการส่งสัญญาณใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวด  โดยตลาดหุ้นเอเชียผันผวนในวันนี้ (21 ธ.ค.) หลังจากตลาดหุ้นวอลล์สตรีทปิดบวกในวันอังคาร จากที่ติดลบติดต่อกัน 4 วัน ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลทั่วโลกพุ่งขึ้น รวมทั้งเงินเยนพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 4 เดือนเมื่อเทียบกับดอลลาร์ในวันอังคาร

 

ธนาคารกลางญี่ปุ่นประกาศขยายกรอบอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีของรัฐบาลให้เคลื่อนไหวในช่วง -0.5% ถึง +0.5% จากเดิมที่อยู่ในกรอบ -0.25% ถึง +0.25%  เพื่อเปิดทางให้อัตราดอกเบี้ยระยะยาวปรับตัวสูงขึ้น และคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ -0.1% โดยมีเป้าหมายที่จะตรึงอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีไว้ที่ 0%

 

 

 

มาถึงตรงนี้หลายคนคงจะเห็นคำว่า  "Yield Curve Control" เพื่อให้เข้ากลไกของมาตรการนี้  

 

Yield Curve Control  : YCC คืออะไร 

  • Yield Curve Control หรือ YCC คือ การควบคุมเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตร ธนาคารกลางตั้งใจล็อคอัตราดอกเบี้ยในระยะที่ยาวผ่านการเข้าซื้อพันธบัตรระยะยาว โดยทั่วไป คือดอกเบี้ยพันธบัตรอายุ 10 ปี 
  • จากนั้นธนาคารกลางจะเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลตามที่ระบุไว้เพื่อให้อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอยู่ในช่วงอายุที่กำหนดไว้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด มากน้อยเท่าไหร่นั้น เเล้วแต่สภาวะตลาด 
  • เป็นหนึ่งในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และคุมต้นทุนการกู้ยืมไม่ให้สูงเกินไป 
  • ปัจจุบันมีสองธนาคารกลางที่ได้ใช้มาตรการ YCC ได้แก่ ธนาคารกลางญี่ปุ่น เริ่มใช้ในปี พ.ศ.2559 และธนาคารกลางออสเตรเลียเริ่มใช้ในเดือนมีนาคม พ.ศ.2563

 

Yield Curve Control  : YCC แตกต่างจาก Quantitative Easing : QE 

  • YCC และ QE เป็นการผ่อนคลายนโยบายการเงินที่มีแนวทางการปฏิบัติที่แตกต่างกัน
  • YCC ธนาคารกลางจะเข้าซื้อพันธบัตรในช่วงอายุที่ระบุไปเรื่อยๆ เพื่อกดผลตอบเเทนพันธบัตรให้ลดลงตามเป้าหมาย ส่งผลให้จำนวนเงินที่ใช้ในการทำ YCC อาจมากหรือน้อยก็ได้ 
  •  QE ธนาคารกลางจะเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลในปริมาณที่ระบุไว้ในเวลาที่กำหนด
  • ส่งผลให้งบดุลของธนาคารกลางในการทำ QE เพิ่มขึ้นเท่าจำนวนที่ระบุว่าจะซื้อ
  • ส่วน YCC งบดุลของธนาคารกลางอาจไม่เพิ่มขึ้น เพราะขึ้นอยู่กับความสามารถในการสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน

 

ความเสี่ยงของ Yield Curve Control  : YCC 

  • การส่งผ่านนโยบายอาจจะไม่มีประสิทธิภาพ เพราะการควบคุมอัตราผลตอบแทนพันธบัตร อาจไม่สามารถควบคุมต้นทุนการเงินของภาคเอกชนได้
  • หากนักลงทุนไม่เชื่อมั่นเเละมองว่าธนาคารไม่สามารถคุมให้ดอกเบี้ยระยะยาวเป็นไปตามที่ประกาศ อาจเกิดการเทขายพันธบัตรออกมา ทำให้ธนาคารต้องใช้เงินมากขึ้นในการซื้อพันธบัตรเหล่านั้น 
  • เมื่อใช้ YCC เเต่เศรษฐกิจไม่ฟื้นตัว และรัฐบาลมีความจำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจโดยทำนโยบายขาดดุลการคลัง ทำให้รัฐบาลต้องกู้เงินมาใช้มากขึ้น อาจส่งผลให้หนี้สาธารณะสูงขึ้นและกระทบต่อการรักษาวินัยทางการคลัง 
  • อีกทั้งอาจทำได้ยากขึ้น เพราะปริมาณพันธบัตรที่มีให้ซื้อมีอยู่อย่างจำกัด 

 

ข้อมูลอ้างอิง Federal Reserve Bank of St. Louis