"ความผันผวนในตลาดการเงินปรากฏให้เห็นชัดเจนมากขึ้นตั้งแต่ช่วงฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมา ด้วยเหตุนี้เราจึงตัดสินใจขยายกรอบอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีให้สูงขึ้นจากระดับเดิมที่ +0.25% ซึ่งเป็นกรอบที่ทำให้เส้นอัตราผลตอบแทนบิดเบือนไปจากปัจจัยพื้นฐานของตลาด เราได้ตัดสินใจแล้วว่าขณะนี้เป็นเวลาที่เหมาะสมที่เราจะแก้ไขภาวะบิดเบือนนั้น และปรับปรุงกลไกตลาดให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น"
นี่คือสิ่งที่ นายฮารุฮิโกะ คุโรดะ ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) กล่าวต่อสื่อมวลชน
การปรับมาตรการ Yield Curve Control ของ ธนาคารกลางญี่ปุ่น ส่งผลให้ตลาดกังวลถึงการส่งสัญญาณใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวด โดยตลาดหุ้นเอเชียผันผวนในวันนี้ (21 ธ.ค.) หลังจากตลาดหุ้นวอลล์สตรีทปิดบวกในวันอังคาร จากที่ติดลบติดต่อกัน 4 วัน ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลทั่วโลกพุ่งขึ้น รวมทั้งเงินเยนพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 4 เดือนเมื่อเทียบกับดอลลาร์ในวันอังคาร
ธนาคารกลางญี่ปุ่นประกาศขยายกรอบอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีของรัฐบาลให้เคลื่อนไหวในช่วง -0.5% ถึง +0.5% จากเดิมที่อยู่ในกรอบ -0.25% ถึง +0.25% เพื่อเปิดทางให้อัตราดอกเบี้ยระยะยาวปรับตัวสูงขึ้น และคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ -0.1% โดยมีเป้าหมายที่จะตรึงอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีไว้ที่ 0%
มาถึงตรงนี้หลายคนคงจะเห็นคำว่า "Yield Curve Control" เพื่อให้เข้ากลไกของมาตรการนี้
Yield Curve Control : YCC คืออะไร
- Yield Curve Control หรือ YCC คือ การควบคุมเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตร ธนาคารกลางตั้งใจล็อคอัตราดอกเบี้ยในระยะที่ยาวผ่านการเข้าซื้อพันธบัตรระยะยาว โดยทั่วไป คือดอกเบี้ยพันธบัตรอายุ 10 ปี
- จากนั้นธนาคารกลางจะเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลตามที่ระบุไว้เพื่อให้อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอยู่ในช่วงอายุที่กำหนดไว้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด มากน้อยเท่าไหร่นั้น เเล้วแต่สภาวะตลาด
- เป็นหนึ่งในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และคุมต้นทุนการกู้ยืมไม่ให้สูงเกินไป
- ปัจจุบันมีสองธนาคารกลางที่ได้ใช้มาตรการ YCC ได้แก่ ธนาคารกลางญี่ปุ่น เริ่มใช้ในปี พ.ศ.2559 และธนาคารกลางออสเตรเลียเริ่มใช้ในเดือนมีนาคม พ.ศ.2563
Yield Curve Control : YCC แตกต่างจาก Quantitative Easing : QE
- YCC และ QE เป็นการผ่อนคลายนโยบายการเงินที่มีแนวทางการปฏิบัติที่แตกต่างกัน
- YCC ธนาคารกลางจะเข้าซื้อพันธบัตรในช่วงอายุที่ระบุไปเรื่อยๆ เพื่อกดผลตอบเเทนพันธบัตรให้ลดลงตามเป้าหมาย ส่งผลให้จำนวนเงินที่ใช้ในการทำ YCC อาจมากหรือน้อยก็ได้
- QE ธนาคารกลางจะเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลในปริมาณที่ระบุไว้ในเวลาที่กำหนด
- ส่งผลให้งบดุลของธนาคารกลางในการทำ QE เพิ่มขึ้นเท่าจำนวนที่ระบุว่าจะซื้อ
- ส่วน YCC งบดุลของธนาคารกลางอาจไม่เพิ่มขึ้น เพราะขึ้นอยู่กับความสามารถในการสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน
ความเสี่ยงของ Yield Curve Control : YCC
- การส่งผ่านนโยบายอาจจะไม่มีประสิทธิภาพ เพราะการควบคุมอัตราผลตอบแทนพันธบัตร อาจไม่สามารถควบคุมต้นทุนการเงินของภาคเอกชนได้
- หากนักลงทุนไม่เชื่อมั่นเเละมองว่าธนาคารไม่สามารถคุมให้ดอกเบี้ยระยะยาวเป็นไปตามที่ประกาศ อาจเกิดการเทขายพันธบัตรออกมา ทำให้ธนาคารต้องใช้เงินมากขึ้นในการซื้อพันธบัตรเหล่านั้น
- เมื่อใช้ YCC เเต่เศรษฐกิจไม่ฟื้นตัว และรัฐบาลมีความจำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจโดยทำนโยบายขาดดุลการคลัง ทำให้รัฐบาลต้องกู้เงินมาใช้มากขึ้น อาจส่งผลให้หนี้สาธารณะสูงขึ้นและกระทบต่อการรักษาวินัยทางการคลัง
- อีกทั้งอาจทำได้ยากขึ้น เพราะปริมาณพันธบัตรที่มีให้ซื้อมีอยู่อย่างจำกัด
ข้อมูลอ้างอิง Federal Reserve Bank of St. Louis