สิงห์ฯ เปิดแผน 3 ปี จัดทัพรุกธุรกิจเต็มสูบทั้งกลุ่มแอลกอฮอล์-นอนแอลกอฮอล์ ปูพรมรุกตลาดทั้งในและต่างประเทศ ล่าสุดทุ่ม 4,800 ล้านบาท เปิดตัวธุรกิจใหม่ในเครือ นิคมอุตสาหกรรมอาหารแปรรูปครบวงจรในชื่อ "World Food Valley Thailand" ส่งเสริมอุตสาหกรรมแปรรูปอาหารไทยสู่ตลาดโลก พร้อมวางเป้าโกยรายได้ 2 แสนล้านบาทในอีก 2 ปีข้างหน้า ขณะที่เครือไทยเบฟไม่น้อยหน้า เร่งสยายปีกรุกเวียดนามหวังต่อยอดธุรกิจครบวงจรรองรับการแข่งขัน
[caption id="attachment_99731" align="aligncenter" width="335"]
จุตินันท์ ภิรมย์ภักดี
กรรมการรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด[/caption]
นายจุตินันท์ ภิรมย์ภักดี กรรมการรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยว่า แผนการดำเนินธุรกิจของบริษัทช่วง 3 ปีนับจากนี้ (ปี 2560-2563) ด้วยการรุกธุรกิจในกลุ่มนอนแอลกอฮอล์ เพิ่มเป็น 35% จากปัจจุบันที่บริษัทมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจในกลุ่มนอนแอลกอฮอล์ 20% และกลุ่มแอลกอฮอล์ 80% ล่าสุดบริษัทได้เปิดตัวธุรกิจใหม่ในเครือด้วยการก่อสร้างนิคมอุตสาหกรรมอาหารแปรรูปครบวงจรในชื่อ "World Food Valley Thailand" ภายใต้งบประมาณ 4,800 ล้านบาทบนพื้นที่กว่า 2,000 ไร่ ใน อ.ไชโย จ.อ่างทอง ซึ่งพื้นที่ภายในแบ่งเป็นตัวการลงทุนในส่วนของโรงไฟฟ้า 800 ล้านบาท และในส่วนของโรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์อาหาร และโรงงานน้ำมันรำข้าว เป็นต้น โดยคาดว่าจะใช้ระยะเวลาในการก่อสร้าง 3 ปี (ปี 2560-2563) และมีระบบบริหารจัดการที่ชัดเจนใน 5 ปี
โครงการดังกล่าวเกิดขึ้นภายใต้ความร่วมมือกับ 3 หน่วยงานภาครัฐ ได้แก่ กระทรวงอุตสาหกรรม โดยสถาบันอาหาร (สอห.) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME Development) และสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขยาดย่อม(สสว.) ในการลงนามความร่วมมือพัฒนาโครงการฯเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมอาหารไทยให้ก้าวสู่การผลิตและแปรรูปอาหาร สร้างมูลค่าเพิ่มแก่ผลิตภัณฑ์ ส่งเสริมภาคธุรกิจของไทยให้แข็งแกร่ง จากปัจจุบันที่ไทยส่งออกอุตสาหกรรมอาหารเป็นลำดับที่ 15 ของโลก เพื่อก้าวสู่ความเป็นท็อป 5 ในการส่งออกผลิตภัณฑ์อาหารทั่วโลกในอีก 20 ปีข้างหน้า
"ปัจจุบันเรามีบริษัทเกี่ยวกับธุรกิจอาหารในเครือทั้งสิ้น 8 บริษัท จากจำนวนบริษัทในเครือทั้งหมด 100 บริษัท ซึ่งการแตกไลน์ธุรกิจดังกล่าวเป็นการส่งเสริมและต่อยอดการเติบโตให้แก่บริษัท ภายใต้ช่องทางการเติบโต 3 ขาหลัก (เชิงมูลค่า) ได้แก่ 1.ธุรกิจแพ็กเกจจิ้ง 2.ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และ3.ธุรกิจอาหารที่ถือเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีแนวโน้มการเติบโตแบบก้าวกระโดด จากปัจจุบันที่บริษัทมีธุรกิจในเครือทั้งสิ้น 5 ขาหลัก ได้แก่ 1.ธุรกิจแอลกอฮอล์ 2.ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 3.ธุรกิจโลจิสติกส์ 4.ธุรกิจแพ็กเกจจิ้ง และ5.ธุรกิจอาหาร"
ขณะที่แผนการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศในกลุ่มธุรกิจเบียร์ของบริษัทจะโฟกัสการทำตลาดไปยังประเทศในกลุ่มซีแอลเอ็มวี ได้แก่ กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม ภายใต้แบรนด์เบียร์สิงห์ จากปัจจุบันที่บริษัทมีสัดส่วนรายได้จากกลุ่มธุรกิจเบียร์จากประเทศในแถบซีแอลเอ็มวี 15% จากรายได้ของธุรกิจเบียร์ที่มาจากต่างประเทศทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีแผนนำเข้าเบียร์จากประเทศเวียดนามเข้ามาทำตลาดในช่วง 1-2 สัปดาห์ข้างหน้า หลังจากที่บริษัทเข้าซื้อกิจการของเมซานกรุ๊ป ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มรายใหญ่ของประเทศเวียดนาม ด้วยเม็ดเงินร่วม 4 หมื่นล้านบาทในช่วงปีที่ผ่านมา ด้วยหวังใช้เวียดนามเป็นอีกหนึ่งฐานสำคัญในการผลิตและส่งออกสินค้ากลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ในการสร้างการเติบโตให้แก่บริษัท
สำหรับในช่วงปีที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้กว่าแสนล้านบาท โดยแนวโน้มปีนี้คาดการณ์ว่าภาพรวมการเติบโตค่อนข้างทรงตัวจากปีที่ผ่านมา ทั้งนี้เป็นมาจากสภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่ชะลอตัวในช่วงต้นปี ขณะที่เป้าหมายอีก 2 ปีข้างหน้า บริษัทวางเป้าหมายในการสร้างรายได้ไว้ที่ 2 แสนล้านบาท
อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ฟากค่ายธุรกิจคู่แข่งอย่างเบียร์ช้างก็ได้ให้ความสนใจในการเข้าซื้อ Habeco (Hanoi Alcohol Beer and Beverage Company ) ในฮานอย และ Sabeco (Saigon Beer-Alcohol-Beverage Corporation) ในโฮจิมินห์ซิตี เพื่อต่อยอดธุรกิจเพราะเป็นตลาดที่มีศักยภาพ ซึ่งไม่เพียงในธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เท่านั้น
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,194 วันที่ 22 - 24 กันยายน พ.ศ. 2559