เมนเทนธุรกิจข้าว รุกธุรกิจใหม่ 'เอเซียโกลเด้นไรซ์ลั่น!ยังเบอร์1'

12 ก.ค. 2559 | 10:00 น.
เอ่ยถึง บริษัท เอเซีย โกลเด้น ไรซ์ฯ ในวงการค้าข้าวของเมืองไทยไม่มีใครไม่รู้จักชื่อนี้ เนื่องด้วยเป็นบริษัทส่งออกข้าวอันดับ 1 ของประเทศติดต่อกัน 4-5 ปีจนถึง ณ ปัจจุบัน โดยในปี 2557 บริษัทเคยส่งออกได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 2.05 ล้านตัน จากภาพรวมการส่งออกข้าวของประเทศในปีเดียวกันที่ 10.4 ล้านตัน ต่อทิศทางธุรกิจของเอเซีย โกลเด้นไรซ์นับจากนี้จะเป็นไปในทิศทางใด และมุมมองการผลิตและการส่งออกข้าวของไทยในครึ่งหลังของปีนี้จะเป็นอย่างไร ฟังจากปากของ "สมบัติ เฉลิมวุฒินันท์" ประธานบริษัทเอเซีย โกลเด้น ไรซ์ จำกัด ที่ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ดังนี้

 สยายปีกหลากธุรกิจในประเทศ

"สมบัติ" ได้ฉายภาพธุรกิจของกลุ่มว่า สำหรับในประเทศนอกจากการส่งออกข้าวซึ่งเป็นธุรกิจหลักแล้ว ณ ปัจจุบันยังมีธุรกิจโรงสีข้าวของตัวเอง (5 โรง) มีโรงงานปรับปรุงคุณภาพ มีบริษัทเรือไรท์เตอร์ และรถขนส่งข้าว บริษัทหยง(บริษัทรวบรวมข้าวขายให้ผู้ส่งออก) และมีบริษัทผลิตถุงบรรจุข้าวสาร นอกจากนี้ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาได้ร่วมทุนกับกลุ่มบุญรอดบริวเวอรี่(เบียร์สิงห์)สัดส่วน 50 : 50ในหลายธุรกิจ ได้แก่ธุรกิจโรงสกัดนำมันรำข้าว (ในรูปน้ำมันดิบ)เพื่อจำหน่าย ให้กับโรงงานอาหารสัตว์ และส่งไปจำหน่ายที่ญี่ปุ่น ธุรกิจโรงสี และธุรกิจโรงไฟฟ้าใช้เชื้อเพลิงจากก๊าซธรรมชาติ และอีกโรงใช้เชื้อเพลิงจากแกลบหรือชีวมวล และธุรกิจข้าวถุงในแบรนด์ "พันดี"

"ใน 3 โครงการแรกที่เราร่วมทุนกับทางกลุ่มบุญรอด หรือเบียร์สิงห์มีที่ตั้งที่จังหวัดอ่างทอง ในส่วนของโรงไฟฟ้าก็เริ่มเดินเครื่องไปแล้ว เพื่อขายไฟให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค โรงสกัดน้ำมันรำข้าวจะเริ่มเดินเครื่องในอีก 1-2 เดือนข้างหน้า ในอนาคตทางสิงห์อยู่ระหว่างศึกษาเรื่องตลาด และอาจผลิตเป็นน้ำมันรำข้าวบริสุทธิ์เพื่อการบริโภค ส่วนโรงสีจะแล้วเสร็จและเปิดดำเนินการในช่วงเดือนกันยายนของปีนี้ ซึ่งจะสามารถรองรับกับผลผลิตข้าวในฤดูการผลิตใหม่ที่จะออกมาพอดี ส่วนโรงงานข้าวถุงแบรนด์พันดีก็อยู่แถวบางปะกงก็ผลิตและจำหน่ายแล้ว การร่วมทุนกับกลุ่มบุญรอด ผลจากได้แลกเปลี่ยนความเห็นกัน และเป็นจังหวะที่เขาสนใจเรื่องเกษตร ก็มีจุดที่ลงตัวพอดี"

ขยายต่อเนื่องฐานกัมพูชา

ส่วนธุรกิจในต่างประเทศได้ร่วมทุนกับนักธุรกิจท้องถิ่นในกัมพูชาสัดส่วน 70 : 30 ตั้งโรงสีข้าวและโรงงานปรับปรุงข้าวขนาดใหญ่ กำลังการผลิตปีละประมาณ 1 ล้านตันที่เมืองกัมปอต เพื่อสีเป็นข้าว และข้าวนึ่งเพื่อส่งออก ใช้เงินลงทุนประมาณ 1 พันล้านบาท เริ่มส่งออกเมื่อปลายปี 2558 ที่ผ่านมา ล่าสุดได้ร่วมทุนกับนักธุรกิจรายเดิมในกัมพูชา และผู้ประกอบการโรงแป้งข้าวเจ้ามืออาชีพในไทยเพื่อตั้งโรงงานผลิตแป้งข้าวเจ้า ใช้เงินลงทุนประมาณ 200 ล้านบาท คาดจะแล้วเสร็จต้นปีหน้า มีเป้าหมายการใช้สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร(จีเอสพี)ส่งออกไปยังสหภาพยุโรป(อียู)

เมนเทนข้าว-รุกธุรกิจใหม่

"ทิศทางอนาคตของบริษัทในอีก 3 ปี 5 ปีข้างหน้า จะขยายไปในแนวไหน จริงๆ เราเป็นที่ 1 (ส่งออกข้าว)ของประเทศ และปีนี้ก็จะพยายามรักษาอันดับ จะไปมากกว่าที่ 1 อันนี้คงไม่มีอะไรมาก คงพยายามรักษาฐาน และเมนเทนตรงนี้ ถ้าถามว่าวันนี้เราคงกลับไปเป็นผู้ผลิตมากขึ้น จากเดิมเราส่งออกโดยที่ซื้อข้าวจากโรงสีเป็นหลัก วันนี้ผมเชื่อว่าผู้ส่งออกที่จะยืนได้ต้องมีโรงสีของตัวเองเป็นหลัก ซึ่งเราก็พร้อมเพราะในกลุ่มเราก็มีโรงสีในเครืออยู่พอประมาณ วันนี้เราพยายามดูแลในกลุ่ม พยายามเมนเทนที่เรามีอยู่ โดยรักษาฐานการตลาด ให้ดี ให้แข็งแรง ขณะนี้เราก็เป็นผู้ประกอบการครบวงจร ก็คงรักษาระดับที่เป็นอยู่ให้มีความมั่นคง ในส่วนของธุรกิจข้าวคงไม่ขยายอะไรไปมากมายกว่านี้ แต่จะหันไปรุกธุรกิจอื่นที่มีทิศทางธุรกิจที่ดี เบื้องต้นยังไม่ขอเปิดเผย"

 เป้าส่งออกข้าวปีนี้ 1.5 ล้านตัน

"สมบัติ" เผยว่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2559 บริษัทส่งออกข้าวไปแล้วเกือบ 7 แสนตัน ลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว แต่ก็ถือว่าน่าพอใจ ท่ามกลางการแข่งขันส่งออกข้าวของไทยและของต่างประเทศที่แข่งขันกันสูงมาก โดยในไทยกลุ่มโรงสีในไทยก็มาแข่งขันเป็นผู้ส่งออกเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดีในปีนี้คาดประเทศไทยจะส่งออกข้าวได้ไม่ต่ำกว่า 9.5 ล้านตัน (จากปี 58 ส่งออกได้ 9.7 ล้านตัน) จากครึ่งปีแรกไทยส่งออกข้าวได้แล้วใกล้ 5 ล้านตัน

"การส่งออกข้าวของไทยในไตรมาสที่ 3 คาดจะชะลอลง จากผลผลิตข้าวเราที่น้อยลงจากผลกระทบภัยแล้ง เฉลี่ยต่อเดือนในไตรมาสที่ 3 น่าจะได้สัก 7 แสนตันต่อเดือน ส่วนในไตรมาสที่ 4 ที่จะมีผลผลิตข้าวในฤดูการผลิตใหม่ออกมาน่าจะสปีดทำได้เฉลี่ยเดือนละ 8 แสน- 1 ล้านตัน และทั้งปีน่าจะได้ 9.5 ล้านตันไม่น่ามีปัญหา และไทยจะยังเป็นแชมป์ส่งออกข้าวโลกอีกปี ขณะที่ส่วนของเอเซีย โกลเด้นไรซ์ปีนี้ประเมินไว้จะส่งออกได้ 1.4-1.5 ล้านตัน น่าจะเป็นไปตามเป้าหมาย จากปกติเราจะตั้งเป้าส่งออกไว้ที่สัดส่วน 16% ของการส่งออกข้าวไทยในภาพรวมทุกปี"

ทั้งนี้การส่งออกข้าวไทยที่คาดจะทำได้ไม่ต่ำกว่า 9.5 ล้านตันในปีนี้ เขามองว่า อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และมาเลเซียซึ่งเป็นลูกค้าประจำคาดจะเริ่มกลับมาซื้อข้าวไทยในช่วงเดือนสิงหาคม-ตุลาคม เพื่อส่งมอบในช่วงปลายปีถึงต้นปีหน้า ส่วนตลาดหลักคือแอฟริกา(สัดส่วนกว่า 40% ของการส่งออกข้าวไทย) เช่น ไนจีเรีย โมซักบิก แองโกลา คาดในช่วงปลายปีจะกลับมาสั่งซื้อข้าวไทยเพิ่มขึ้น จากที่เวลานี้ยังได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมัน และค่าเงินยูโร(หลายประเทศในแอฟริกามีรายได้หลักจากน้ำมัน และการซื้อข้าวส่วนใหญ่จะผ่านทางเทรดเดอร์ของยุโรปที่เวลานี้ได้รับผลกระทบจากเงินยูโรอ่อนค่ากรณี Brexit)

"ผมคิดว่าตลาดทางเอเชียคงต้องเข้ามาไม่ว่าจะเป็น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ จีน มาเลเซีย ช่วงปลายปีจะสั่งซื้อมากขึ้น ถ้ามาวันนี้เราก็ไม่มีข้าวเพราะว่าข้าวใหม่เราขาด จากการเพาะปลูกของเราขาดตอน เราจะไปเก็บเกี่ยวเอาปลายเดือน 9 ถึงต้นเดือน 10 อันนั้นจะเป็นคร็อปใหญ่ของเรา ก็จะเป็นจังหวะและโอกาสของตลาดพอดี รวมถึงตลาดตะวันออกกลาง เช่น อิรัก อิหร่าน โดยเฉพาะอิรักที่ชะลอซื้อข้าวไทยไป 2 ปี (จากมีปัญหาคุณภาพ) และรัฐบาลไทยก็ได้เจรจา คาดปีนี้เราจะได้ส่วนแบ่งตลาดอิรักกลับคืนมาได้บ้าง ขณะเดียวกันตลาดจีนที่รัฐบาลชุดปัจจุบันได้ไปเซ็นสัญญาข้าวจีทูจีไว้อีก 1 ล้านตัน หากมีการเจรจาซื้อขายในช่วงไตรมาสที่ 3 ก็จะรองรับข้าวใหม่ของไทยที่จะออกมาอีกตลาดหนึ่งพอดี"

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,173 วันที่ 10 - 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2559