ผนึกเครือข่ายปั้นเดนท์สุ วัน ชูกลยุทธ์ผสมผสานรับมือพฤติกรรมลูกค้าเปลี่ยน

01 ก.ค. 2559 | 08:00 น.
ผนึกเครือข่าย 7 ประเทศปั้นแบรนด์ “เดนท์สุ วัน” ชูกลยุทธ์ผสมผสานเน้นสร้างตราสินค้าเติบโตแบบยั่งยืน พร้อมจัดสรรงบโฆษณาคุ้มค่าท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจ หลังพบพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงเร็ว ส่งผลสินค้ามาเร็ว ไปเร็ว ด้าน “ดลชัย” ชี้ศก.พ่นพิษทำภาพรวมอุตฯโฆษณาทรงตัว

[caption id="attachment_66567" align="aligncenter" width="355"] ยูอิชิ โตโยดะ  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท เดนท์สุ วัน (กรุงเทพ) จำกัด ยูอิชิ โตโยดะ
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
บริษัท เดนท์สุ วัน (กรุงเทพ) จำกัด[/caption]

นายยูอิชิ โตโยดะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เดนท์สุ วัน (กรุงเทพ) จำกัด บริษัทที่ปรึกษาด้านการสร้างแบรนด์ การจัดสรรงบโฆษณา เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า เดนท์สุ พลัส(Dentsu Plus) และรวมถึงบริษัทในเครือเดียวกันอีก 7 ประเทศ ได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “เดนท์สุ วัน” (Dentsu One) จากเดิมที่ใช้ชื่อแตกต่างกันไป เช่น ประเทศอินโดนีเซีย ใช้ชื่อ Dentsu Start ประเทศจีน ใช้ชื่อ Dentsu Rihai ประเทศเวียดนาม ใช้ชื่อ Dentsu Alpha เป็นต้น ทั้งหมดจะเปลี่ยนชื่อมาเป็นชื่อเดียวกับประเทศไทย แต่จะแตกต่างกันที่เมืองเท่านั้น โดยบริษัทได้ปรับแผนกลยุทธ์ใหม่เน้นผสมผสานงานใน 3 รูปแบบเข้าด้วยกัน คือ 1.การใช้เครือข่ายที่มีทั่วโลกร่วมกัน (One Network) 2.การแก้ปัญหาให้ลูกค้าด้วยรูปแบบต่างๆ (One Integrated) และ 3. การเป็นทางเลือกเบอร์ 1 ของลูกค้า (No.1 Choice for Our Clients)

ขณะเดียวกันช่วงที่ผ่านมาบริษัทเริ่มเล็งเห็นการเสพสื่อ การจับจ่ายซื้อสินค้าและบริการของลูกค้าที่ค่อนข้างเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จนทำให้แบรนด์ที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่กลายเป็นแบรนด์กระแสและได้รับความสนใจแค่ในระยะเวลาอันสั้นเท่านั้น จนท้ายที่สุดแบรนด์ถูกลืมไป ซึ่งมองว่าการทำธุรกิจเรื่องแบรนด์เป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้นเป้าหมายของบริษัทจากนี้คือการสร้างแบรนด์ให้ลูกค้าเติบโตอย่างยั่งยืน

“เดนท์สุ วันเชื่อว่าในโลกที่ข้อมูลข่าวสารมาเร็ว ไปเร็ว การสร้างกระแสแค่ช่วงสั้นๆ ไม่เพียงพอ สิ่งสำคัญคือการทำให้ทุกช่องทางการสื่อสาร และทุกประสบการณ์ที่ผู้บริโภคมีกับแบรนด์ เป็นการลงทุนสร้างแบรนด์และความผูกพันในระยะยาว บริษัทจึงสร้างทีมงานที่เชื่อในการสร้างแบรนด์ เพื่อสร้างธุรกิจที่ยั่งยืน ด้วยการกำหนดตัวตนและเส้นทางชีวิตของแบรนด์อย่างสร้างสรรค์ ให้มีทิศทางชัดเจน ครอบคลุมทุกแง่มุมที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์ เพื่อให้ผู้บริโภคได้สะสมประสบการณ์ การรับรู้จนกลายเป็นความรักต่อแบรนด์อย่างมั่นคงตลอดไป”

สำหรับการทำงานของบริษัทเปรียบได้กับหมอรักษาโรคกับคนไข้ โดยแบรนด์ที่มีปัญหาหรือเป็นโรคต้องการรักษา เบื้องต้นหมอจะต้องวินิจฉัยโรคเป็นอันดับแรก จากนั้นจึงทำการรักษาด้วยวิธีต่างๆที่ไม่ใช่แค่การทานยาเพียงอย่างเดียว (เปรียบได้กับการหว่านเงินซื้อโฆษณากับสื่อเดิม) แต่อาจจะสามารถรักษาโรคด้วยวิธีการบำบัด ออกกำลังกาย ฯลฯ นอกจากนี้ยังรวมถึงการวิเคราะห์ปัญหาในอนาคตเพื่อหาแนวทางแก้ไขที่อาจจะเกิดขึ้นไว้ล่วงหน้า

“ปัจจุบันธุรกิจเอเยนซี่มีการแข่งขันสูง ประกอบกับภาพรวมเศรษฐกิจที่ค่อนข้างทรงตัว ทุกบริษัทต้องพยายามหาจุดแข็งและจุดเด่นเช่นเดียวกันกับเดนท์สุ วันนี้ที่ต้องพยายามหาข้อแตกต่างจากตลาด และสิ่งที่พบคือการนำจุดแข็งที่บริษัทมี อาทิ ข้อมูล(DATA) เนื้อหา(Content) ความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) ฯลฯ ผลักดันแบรนด์ลูกค้าให้สามารถอยู่ในตลาดได้อย่างยั่งยืนและยังคงเป็นลูกค้าของเดนท์สุ วันไปอีกยาวนาน” นายยูอิชิ กล่าว

ด้านนายดลชัย บุณยะรัตเวช ประธาน บริษัท เดนท์สุ วัน(กรุงเทพ) จำกัด กล่าวว่า สำหรับภาพรวมอุตสาหกรรมโฆษณาในประเทศไทย ที่ผ่านมาค่อนข้างได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจพอสมควรส่งผลให้ตลาดทรงตัว ขณะเดียวกันงบโฆษณาในตลาดที่ลดลง มาจาก 2 ปัจจัย คือ 1.ลูกค้าลดงบประมาณค่าใช้จ่าย 2.ลูกค้าโยกงบจากการโฆษณาไปทำกิจกรรมอื่นๆแทน เช่น การสร้างแบรนด์ อีเว้นท์ และดิจิตอล เป็นต้น ทั้งนี้เมื่อลูกค้าลดงบประมาณค่าใช้จ่ายโฆษณา สิ่งที่เอเยนซี่ต้องดำเนินการ คือการจัดสรรเงินให้คุ้มค่ามากที่สุด ขณะเดียวกันต้องพิจารณาแบรนด์และสื่อแต่ละประเภทให้สอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน

“แม้ภาพรวมตลาดโฆษณาจะค่อนข้างทรงตัว แต่ภาพรวมของบริษัทยังเติบโตได้อย่างดี ซึ่งสังเกตได้จากรายได้ที่เติบโตขึ้นกว่า 160% จากเดือนมกราคม - มิถุนายนเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้รายได้ที่เติบโตเพิ่มขึ้นมาจากการปรับกลยุทธ์ของเดนท์สุ วัน ที่นำรูปแบบการทำงานทั้ง 3 แบบมาผสานกันจนเกิดเป็นการสร้างแบรนด์ระยะยาว”

ปัจจุบันบริษัทมีฐานลูกค้าจำนวน 45 ราย แบ่งเป็น ลูกค้าในประเทศ 60% ญี่ปุ่น 35% และอื่นๆ 5% โดยปีนี้จะหากลุ่มลูกค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง คาดว่าจะมีลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ 8 ราย หรือโดยรวมจนถึงสิ้นปีนี้จะมีลูกค้าทั้งสิ้นประมาณ 50 ราย

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,170
วันที่ 30 มิถุนายน - 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2559