KEY
POINTS
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา “เสื้อผ้าแบรนด์ไทย” ไม่ได้เป็นเพียงทางเลือกหนึ่งของผู้บริโภคอีกต่อไป หากแต่กำลังก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในภาพสะท้อนที่ชัดเจนของอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ไทย ซึ่งเติบโตควบคู่ไปกับพลังของโซเชียลมีเดีย จากแบรนด์ขนาดเล็กที่เริ่มต้นขายบนแพลตฟอร์มออนไลน์ สู่แบรนด์ที่สามารถสร้างกระแส สร้างการรับรู้ และขยายฐานลูกค้าได้ในวงกว้าง
ข้อมูลจากบริษัท ดาต้าเซ็ต จำกัด ซึ่งรวบรวมบทสนทนาบนโซเชียลมีเดียผ่านเครื่องมือ dxt:360 Social Listening ระหว่างวันที่ 1 กันยายน – 15 ธันวาคม 2568 ชี้ให้เห็นภาพรวมการพูดถึง “เสื้อผ้าแบรนด์ไทย” ในหลายมิติ ทั้งแพลตฟอร์มที่ผู้บริโภคใช้งาน แบรนด์ที่ได้รับความสนใจ เทรนด์สินค้า ไปจนถึงอินไซต์เชิงลึกด้านพฤติกรรมและความคาดหวังของผู้บริโภคบนโลกออนไลน์
จากการวิเคราะห์ข้อมูล Social Listening พบว่า บทสนทนาเกี่ยวกับเสื้อผ้าแบรนด์ไทยกระจายอยู่บนหลายแพลตฟอร์ม โดยแต่ละช่องทางมีบทบาทแตกต่างกันอย่างชัดเจน ทั้งในแง่รูปแบบคอนเทนต์และลักษณะการมีส่วนร่วมของผู้ใช้งาน
TikTok เป็นแพลตฟอร์มที่มีการกล่าวถึงสูงสุด คิดเป็น 59.7% ของทั้งหมด เนื้อหาส่วนใหญ่อยู่ในรูปแบบวิดีโอสั้น ไม่ว่าจะเป็นรีวิวสินค้า การลองสวมใส่จริง การแนะนำเทรนด์แฟชั่น หรือการแชร์ลุคแต่งตัวประจำวัน (OOTD) ซึ่งเป็นคอนเทนต์ที่เข้าถึงผู้ชมได้รวดเร็ว และสร้าง Engagement ได้สูง โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงาน
ที่สำคัญ TikTok ไม่ได้ทำหน้าที่เพียงสร้างการรับรู้เท่านั้น แต่ยังพัฒนาไปสู่การเป็นช่องทางซื้อขายสินค้าโดยตรงผ่าน TikTok Shop ฟีเจอร์อย่าง “ปักตะกร้า” ทำให้ผู้ชมสามารถเชื่อมต่อจากคอนเทนต์ไปสู่การตัดสินใจซื้อได้ทันที เกิดเป็นรูปแบบ Content-to-Commerce ที่รวมทุกขั้นตอนตั้งแต่การสร้างกระแสจนถึงการปิดการขายไว้ในแพลตฟอร์มเดียว
ขณะที่ Facebook ซึ่งมีสัดส่วนการกล่าวถึง 37.5% ทำหน้าที่เป็นช่องทางสื่อสารหลักของแบรนด์ โดยบทสนทนาส่วนใหญ่มาจาก Official Account ของแบรนด์ ห้างสรรพสินค้า และแพลตฟอร์มค้าปลีก เนื้อหาจะเน้นข้อมูลสินค้า คอลเลกชันใหม่ และกิจกรรมส่งเสริมการขาย มากกว่าการสร้างไวรัลในระยะสั้น
ส่วน Instagram ถูกใช้เป็นพื้นที่สร้างภาพลักษณ์และตัวตนของแบรนด์ ผ่านภาพสินค้าและสไตล์ที่ชัดเจน เพื่อสร้างการรับรู้ด้านภาพลักษณ์ (Brand Perception) ขณะที่แพลตฟอร์มอย่าง X, YouTube และเว็บบอร์ดออนไลน์ แม้มีสัดส่วนการพูดถึงไม่สูงนัก แต่ยังช่วยสะท้อนความคิดเห็นและมุมมองของผู้บริโภคต่อแบรนด์ไทยในภาพรวม
เมื่อพิจารณาจากระดับ Engagement ซึ่งวัดจากจำนวน Like, Comment และ Share บนโซเชียลมีเดีย พบว่าแบรนด์เสื้อผ้าไทยหลายรายมีการมีส่วนร่วมที่โดดเด่น สะท้อนถึงประสิทธิภาพของกลยุทธ์การสื่อสารและการตลาดดิจิทัล
ATIPA ครองอันดับ 1 ด้วย Engagement 20.3% จากการทำตลาดเชิงรุกบน TikTok ทั้งการไลฟ์ขายสินค้าและการทำ Collaboration กับบุคคลที่มีชื่อเสียงอย่าง อิงฟ้า วราหะ รวมถึงการจัดแฟชั่นโชว์ Aura x ATIPA ที่ช่วยสร้างกระแสบนโลกออนไลน์อย่างต่อเนื่อง
BEMING ตามมาเป็นอันดับ 2 ด้วย Engagement 17.9% โดยเน้นการสื่อสารที่เข้าถึงง่ายผ่านคอนเทนต์ Vox Pop กลุ่มวัยรุ่น ผสานกับการใช้ Micro-Influencer ส่งผลให้แบรนด์กลายเป็นหนึ่งในตัวเลือกหลักของนักเรียนนักศึกษา
YUEDPAO อยู่ในอันดับ 3 ด้วย Engagement 10.2% จากจุดแข็งด้านคุณภาพสินค้า ควบคู่กับกระแสเชิงบวกจากกิจกรรมเพื่อสังคมและแคมเปญการกุศล ที่ช่วยขยายภาพลักษณ์แบรนด์ให้มากกว่าแค่เสื้อยืดพื้นฐาน
MERGE อันดับ 4 ด้วย Engagement 9.9% ได้แรงหนุนจากการปรากฏตัวในงาน ELLE Fashion Week 2025 และการเปิดตัวสินค้าใหม่ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภค ขณะที่ WARRIX อันดับ 5 ด้วย Engagement 6.1% ได้รับอานิสงส์จากการสนับสนุนกิจกรรมกีฬาและพลัง Soft Power จากศิลปินต่างชาติ
นอกจากนี้ ยังมีแบรนด์ที่ได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ Homeboy, Studio Unknown, Promthong, Gentlewoman และ Mitr สะท้อนภาพการสนับสนุนแบรนด์แฟชั่นสัญชาติไทยที่ขยายตัวอย่างชัดเจน
ความสำเร็จของแบรนด์เสื้อผ้าไทยในโลกออนไลน์ ไม่ได้เกิดจากดีไซน์หรือคุณภาพเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากกลยุทธ์การสร้างแบรนด์ที่ทำให้เสื้อผ้ากลายเป็นตัวแทนของตัวตนและไลฟ์สไตล์ ทั้งการเลือกใช้ Influencer การสร้าง Hero Product หรือการสื่อสารจุดยืนของแบรนด์ผ่านแคมเปญต่าง ๆ
ในปี 2568 เสื้อผ้าจึงไม่ใช่แค่เครื่องนุ่งห่ม แต่เป็นสัญลักษณ์ที่ผู้สวมใส่ใช้บอกเล่าว่า “ฉันคือใคร” และเลือกจะเป็นแบบไหนในสังคม
แม้ #เสื้อยืด จะยังเป็น Hashtag ที่ถูกพูดถึงมากที่สุด แต่กระแสเริ่มขยับไปสู่เสื้อผ้าที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมและการออกกำลังกายมากขึ้น เช่น #เสื้อออกกำลังกาย #เสื้อวิ่ง และ #เสื้อกีฬา ซึ่งสะท้อนพฤติกรรมผู้บริโภคที่มองหาเสื้อผ้าที่ใช้งานได้จริง ใส่สบาย และรองรับไลฟ์สไตล์ที่แอคทีฟ
การแต่งตัวจึงไม่ถูกจำกัดอยู่แค่เรื่องแฟชั่น แต่เชื่อมโยงกับการใช้ชีวิตในแต่ละวัน ตั้งแต่การทำงาน การออกกำลังกาย ไปจนถึงการดูแลสุขภาพ
ภาพรวมทั้งหมดสะท้อนว่า เสื้อผ้าแบรนด์ไทยกำลังก้าวข้ามกรอบเดิม ๆ เพื่อตอบโจทย์ชีวิตจริงของผู้บริโภค จากแฟชั่นหรือไอเท็มพื้นฐาน สู่เสื้อผ้าที่ใส่สบาย ใช้งานได้จริง และสะท้อนตัวตนของคนยุคใหม่อย่างชัดเจน
การเติบโตของแบรนด์ไทยในโลกโซเชียล จึงไม่ใช่เพียงกระแสชั่วคราว แต่เป็นสัญญาณของการเปลี่ยนผ่านเชิงโครงสร้างของตลาดแฟชั่นไทยในยุคดิจิทัล