KEY
POINTS
นายธนพงษ์ จิราพาณิชกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ธนจิรา รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TAN เปิดเผยว่า บริษัทกำลังก้าวสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญทั้งในมิติของการเติบโตในประเทศและการขยายไปต่างประเทศ ภายใต้ยุทธศาสตร์ “Creating and Delivering Meaningful Lifestyle” ที่มุ่งสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางธุรกิจ การสร้างแบรนด์ และความยั่งยืนในระยะยาว
ธุรกิจหลักของธนจิราในปัจจุบันประกอบด้วยแบรนด์ไลฟ์สไตล์และแฟชั่นระดับสากล รวม 4 กลุ่มธุรกิจคือ กลุ่ม Lifestyle, Fashion, Beauty & Wellness และ Food & Beverage โดย PANDORA ยังเป็นเสาหลักสำคัญของพอร์ต มีสัดส่วนรายได้สูงถึงราว 85% เมื่อเทียบกับแบรนด์อื่นในเครือทั้งหมด 12 แบรนด์ พร้อมแตกไลน์รายได้จาก 4 หมวดหลัก ได้แก่ Lifestyle 48% Fashion 26% Beauty & Wellness 19% และ Food & Beverage 7% ซึ่งสะท้อนการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตธุรกิจที่ชัดเจนขึ้น
ในปี 2568 ธนจิราเดินหน้าฉลองครบรอบ 15 ปีแบรนด์เครื่องประดับ PANDORA ในประเทศไทย ซึ่งเติบโตเคียงคู่การก่อตั้งบริษัทมาตั้งแต่ปี 2553 โดยตลอด 15 ปีที่ผ่านมา Pandora ทำยอดขายเครื่องประดับรวมในไทยแล้วกว่า 5 ล้านชิ้น ในจำนวนนี้เป็นยอดขายชาร์มมากกว่า 2.5 ล้านชิ้น ภายใต้แนวคิด “เครื่องประดับคือเรื่องราวของความทรงจำ” จนกลายเป็นแบรนด์ที่ผูกพันกับลูกค้าหลายเจนเนอเรชัน
นายธนพงษ์ กล่าวว่า Core Insight ของผู้บริโภคยังมองเครื่องประดับ PANDORA เป็น “Storytelling piece” ที่สามารถปรับแต่ง (Customization) ได้ตามตัวตนของแต่ละคน ใส่ได้ทุกวัน และผูกติดกับโมเมนต์สำคัญในชีวิต ปัจจุบันฐานลูกค้าหลักยังเป็นกลุ่ม Gen X ที่มีกำลังซื้อสูงและนิยมซื้อชาร์มเก็บเป็นความทรงจำ รองลงมาคือ Gen Y ที่อยู่ในช่วงสร้างตัว ขณะที่กลุ่ม Gen Z ซึ่งเคยมีสัดส่วนไม่ถึง 10% เริ่มขยับขึ้นมาเป็นราวหนึ่งในสามของฐานลูกค้าทั้งหมด
“แม้ Gen Z ยังเล็กกว่ากลุ่มหลัก แต่ใช้จ่ายเฉลี่ยต่อบิลประมาณ 6,000 บาท และมีโอกาสเติบโตอีกมาก เราจึงวางแผนเจาะกลุ่มนี้อย่างจริงจัง ปี 2569 จะเป็นปีที่เราขยับกลยุทธ์แบรนด์ครั้งสำคัญ”
ไฮไลต์สำคัญของแผนปี 2569 คือการเปิดตัว Brand Ambassador ของ PANDORA ในประเทศไทยเป็นครั้งแรก ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2569 โดยเตรียมดึงศิลปินคู่จิ้นจากซีรีส์วายเข้ามาเป็นตัวแทนสื่อสารกับกลุ่มลูกค้า Gen Z และกลุ่มแฟนคลับบนโลกโซเชียล โดยเลือกช่วงเปิดตัวให้สอดคล้องกับเทศกาลวาเลนไทน์ ซึ่งถือเป็นเดือนที่มียอดขายสูงสุด คิดเป็น 12-13% ของรายได้ทั้งปี รองลงมาคือช่วงเทศกาลปลายปีในเดือนธันวาคม
นอกจากการเปิดตัวแบรนด์แอมบาสเดอร์ ธนจิรายังเตรียมเดินหน้ารีโนเวทสาขา CentralWorld ซึ่งเป็น Flagship Store ของ PANDORA ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย มีพื้นที่ราว 100 ตารางเมตร โดยคาดว่าจะเริ่มปิดปรับปรุงช่วงกลางปี 2569 เพื่อกลับมาเปิดให้บริการโฉมใหม่ทันช่วงเทศกาลปลายปี หวังใช้แฟลกชิปสโตร์เป็น “ฮับ” ในการสร้างประสบการณ์แบรนด์และดึงดูดลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ
ปัจจุบัน Pandora มีสาขารวม 53 แห่งทั่วประเทศ แบ่งเป็นสาขาในกรุงเทพฯ และปริมณฑล 41 สาขา และต่างจังหวัด 12 สาขา เช่น เชียงใหม่ โคราช ขอนแก่น อุดรธานี พัทยา ศรีราชา ภูเก็ต สมุย และหาดใหญ่ โดยพบว่า สาขาที่อยู่ใกล้สถานศึกษามีลักษณะยอดขายผันผวนตามช่วงเปิด–ปิดเทอม สะท้อนพลังการจับจ่ายของกลุ่มวัยเรียนและวัยเริ่มทำงานที่มีแนวโน้มเติบโตในอนาคต
ในมิติของผลประกอบการรวม กลุ่มธนจิราโชว์ตัวเลขเติบโตต่อเนื่องในปี 2568 โดยในรอบ 9 เดือนแรก (ม.ค.–ก.ย.) มีรายได้จากการขายและบริการ 1,347 ล้านบาท เติบโต 7.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ขณะที่รายได้รวมสุทธิของกลุ่มอยู่ที่ 1,357 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.5% สะท้อนเสถียรภาพการบริหารพอร์ตและความสามารถในการรับมือเศรษฐกิจที่ยังท้าทาย
สำหรับไตรมาส 3/2568 กลุ่มบริษัทมีรายได้ 452 ล้านบาท เติบโต 10.3% จากปีก่อนหน้า โดยจุดเด่นอยู่ที่ธุรกิจต่างประเทศที่เติบโตสูงถึง 109% โดยเฉพาะ “HARNN Greater China” ในประเทศจีนที่ขยายตัวโดดเด่นถึง 281% ทำรายได้ 40 ล้านบาท กลายเป็นไตรมาสที่ทำยอดขายสูงสุดนับตั้งแต่เริ่มดำเนินงานครบ 1 ปีในตลาดจีน
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี กลุ่มบริษัทมีรายได้จากต่างประเทศ 175 ล้านบาท เติบโต 117% คิดเป็นสัดส่วน 13% ของรายได้ทั้งกลุ่ม เพิ่มจาก 6% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยรายได้ส่วนใหญ่ในต่างประเทศมาจากการขยายธุรกิจ HARNN ในจีน ผ่านร้าน Cosmetic Chain Store, Drug Store และ Specialty Store รวมกว่า 480 จุดขายใน 12 มณฑล พร้อมร้าน Concept Store ภายใต้แบรนด์ HARNN 4 แห่ง และร้าน SCape by HARNN 1 แห่ง รวมถึงการทำตลาดบนแพลตฟอร์มออนไลน์ T-Mall, Xiao Hong Shu, Douyin และ JD.com
นายธนพงษ์ มองว่า การเติบโตของ HARNN Greater China กำลังพัฒนาไปสู่การเป็น “New S-Curve” ของกลุ่ม ในขณะที่ธุรกิจในสิงคโปร์ ญี่ปุ่น และเวียดนามก็มีพัฒนาการเชิงบวก ทั้งในด้านการขยายฐานลูกค้าและพัฒนาช่องทางจำหน่าย โดยไตรมาส 3/2568 นับเป็นไตรมาสที่มีรายได้สูงสุดนับตั้งแต่เริ่มกิจการในสิงคโปร์และจีนเช่นกัน
ด้านผลกำไร ไตรมาส 3/2568 กลุ่มบริษัทมีกำไรสุทธิ 13 ล้านบาท และในช่วง 9 เดือนแรกมีกำไรสุทธิ 41 ล้านบาท โดยผู้บริหารย้ำว่าบริษัทกำลังอยู่ในช่วงลงทุนสร้างฐานกิจการทั้งในและต่างประเทศเพื่อรองรับการเติบโตในระยะยาว มากกว่าการมุ่งทำกำไรระยะสั้นเพียงอย่างเดียว
ในเชิงกลยุทธ์ ธนจิราให้ความสำคัญกับแนวคิด “Value-for-Money” โดยมุ่งนำเสนอสินค้าที่มีคุณภาพและคุ้มค่ากับราคาท่ามกลางภาวะกำลังซื้อที่ชะลอตัว ทั้งนี้แต่ละแบรนด์ในพอร์ตสามารถปรับกลยุทธ์และจุดยืนให้ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าแตกต่างกัน แต่ยังคงอยู่ภายใต้กรอบเดียวกันคือ การมอบประสบการณ์ที่มีความหมายและเหมาะสมกับกำลังซื้อของผู้บริโภค