ดูชัดๆ ผลประกอบการ 'ไดกิ้น อินดัสทรีส์' ท่ามกลางปมโบนัสที่ไม่ลงตัว

05 ธ.ค. 2568 | 04:43 น.
อัปเดตล่าสุด :05 ธ.ค. 2568 | 05:20 น.

เปิดผลประกอบการ ไดกิ้น อินดัสทรีส์ (ประเทศไทย) เจาะงบการเงิน 5 ปีที่ผ่านมา ท่ามกลางชนวนความขัดแย้งโบนัสและสัญญาที่ไม่ลงตัวกับสหภาพแรงงานฯ

KEY

POINTS

  • ข้อพิพาทเรื่องโบนัสมีชนวนเหตุจากผลประกอบการที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะกำไรสุทธิที่พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์เกือบ 7,000 ล้านบาทในปี 2566
  • การเรียกร้องโบนัสในปัจจุบันมีฐานมาจากผลกำไรสุทธิปี 2568 ที่ 5,906 ล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่นำไปสู่การเจรจาที่ไม่ลงตัว จนบริษัทต้องใช้สิทธิปิดงานงดจ้าง
  • แม้กำไรสุทธิจะมีความผันผวนในแต่ละปี แต่งบการเงินโดยรวมชี้ให้เห็นว่าไดกิ้นมีฐานะทางการเงินที่มั่นคงมาก โดยมีสินทรัพย์รวมและส่วนของผู้ถือหุ้นเติบโตต่อเนื่อง

เหตุการณ์ที่ บริษัท ไดกิ้น อินดัสทรีส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศใช้สิทธิ "ปิดงานงดจ้าง" ต่อสหภาพแรงงานไดกิ้นอมตะรักษ์เสรีและสมาชิกสหภาพฯ มีผลวันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2568 กลายเป็นประเด็นร้อนในแวดวงเศรษฐกิจ 

การตัดสินใจใช้สิทธิทางกฎหมายนี้เกิดขึ้นหลังจากการเจรจาข้อพิพาทแรงงานในประเด็นสำคัญอย่างโบนัสและสิทธิ "ทองคำ 3 บาท" ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง และข้อพิพาทกลายเป็นข้อพิพาทแรงงานที่ไม่สามารถตกลงกันได้

ฐานเศรษฐกิจ เกาะติดและเจาะลึกประเด็นนี้ที่มีความน่าสนใจเป็นพิเศษ เพราะเกิดขึ้นกับบริษัทผู้ผลิตเครื่องปรับอากาศที่มีรากฐานการเงินมั่นคงและมีผลประกอบการที่ "ร้อนแรง" ท่ามกลางข้อพิพาทที่เกิดขึ้น

 

การวิเคราะห์งบการเงินย้อนหลังตั้งแต่ปี 2564 ถึง 2568 ผ่านระบบ datawarehouse ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เผยให้เห็นเส้นทางการเงินของไดกิ้นที่เต็มไปด้วยความผันผวนของกำไร แต่มีฐานะการเงินที่แข็งแกร่งตลอดมา

ปี 2566: กำไรสุทธิเกือบ 7,000 ล้านบาท ชนวนหลักแห่งความคาดหวัง

การเติบโตของไดกิ้นแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนผ่านตัวเลขรายได้รวม โดยในปี 2564 รายได้รวมของบริษัทอยู่ที่ 43,710 ล้านบาท และเพิ่มขึ้นเป็น 53,608 ล้านบาท ในปี 2565

ก่อนจะพุ่งทะยานสู่จุดสูงสุดในปี 2566 ด้วยรายได้รวมสูงถึง 64,418 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 20.16 จากปีก่อนหน้า

ตัวเลขที่จุดประกายความขัดแย้งที่สุดคือ กำไรสุทธิ ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ไดกิ้นเคยมีกำไรสุทธิ 5,796 ล้านบาท ในปี 2564 และลดลงเหลือ 4,626 ล้านบาท ในปี 2565

อย่างไรก็ตาม กำไรสุทธิของบริษัทกลับพุ่งสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดดในปี 2566 โดยทำได้ถึง 6,995,368,828 บาท ซึ่งเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 51.20 จากปีก่อนหน้า

ฐานะการเงินแข็งแกร่ง และความผันผวนที่ฝ่ายบริหารต้องระวัง

แม้จะมีความผันผวนในงบกำไรขาดทุน แต่ภาพรวมของ งบแสดงฐานะการเงิน ยืนยันว่าไดกิ้นยังคงเป็นบริษัทที่มีฐานะมั่นคงมาก

บริษัทเป็นบริษัทจำกัดในกลุ่มธุรกิจผลิต และมี สินทรัพย์รวม เติบโตจาก 31,452 ล้านบาท ในปี 2564 เป็น 45,983 ล้านบาท ในปี 2567 และลดลงเล็กน้อยเหลือ 45,498 ล้านบาท ในปี 2568

ความมั่นคงนี้สะท้อนชัดเจนใน ส่วนของผู้ถือหุ้น ซึ่งเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยเพิ่มขึ้นจาก 20,252 ล้านบาท ในปี 2564 เป็น 32,802 ล้านบาท ในปี 2568 การเพิ่มขึ้นนี้เป็นผลจากการสะสมกำไรอย่างต่อเนื่อง

ในด้าน หนี้สินรวม บริษัทยังมีการบริหารจัดการหนี้ที่อยู่ในระดับที่ควบคุมได้

โดยหนี้สินรวมปรับตัวลดลงจากจุดสูงสุดที่ 14,506 ล้านบาท ในปี 2565 มาอยู่ที่ 12,695 ล้านบาท ในปี 2568 ซึ่งบ่งชี้ว่าบริษัทมีสภาพคล่องสูง และอัตราส่วนหนี้สินต่ำ

สัญญาณการเงินปี 2567-2568 และประเด็นสินค้าคงเหลือ

หลังปีทอง 2566 ไดกิ้นเผชิญกับการปรับฐานครั้งใหญ่ในปี 2567 โดยรายได้หลักลดลงถึงร้อยละ 21.33 และกำไรสุทธิลดลงถึงร้อยละ 20.40 เหลือ 5,567 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ในปี 2568 ผลประกอบการก็ดีขึ้น โดยมีรายได้รวม 51,225 ล้านบาท และกำไรสุทธิปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.08 เป็น 5,906 ล้านบาท 

และตัวเลขกำไร 5,900 ล้านบาทนี้เองที่ถูกนำมาใช้เป็นฐานในการเรียกร้องโบนัสในปัจจุบัน

 

สรุปผลประกอบการของ บริษัท ไดกิ้น อินดัสทรีส์ (ประเทศไทย) จำกัด ปี 2564 ถึง 2568 โดยแบ่งตามปีและตัวชี้วัดทางการเงินหลัก ดังนี้ (หน่วย: บาท)

สรุปผลประกอบการ บริษัท ไดกิ้น อินดัสทรีส์ (ประเทศไทย) จำกัด (ปี 2564 – 2568)

ปี 2564 (2021):

  • รายได้รวม: 43,710 ล้านบาท
  • กำไรสุทธิ: 5,796 ล้านบาท
  • หนี้สินรวม: 11,200 ล้านบาท

ปี 2565 (2022):

  • รายได้รวม: เพิ่มขึ้นร้อยละ 22.64 เป็น 53,608 ล้านบาท
  • กำไรสุทธิ: ลดลงร้อยละ 20.18 เหลือ 4,626 ล้านบาท ซึ่งเป็นกำไรที่ต่ำที่สุดในรอบ 5 ปี
  • หนี้สินรวม: เพิ่มขึ้นร้อยละ 29.51 เป็น 14,506 ล้านบาท

ปี 2566 (2023): ปีแห่งการเติบโตสูงสุด

  • รายได้รวม: พุ่งสู่จุดสูงสุดที่ 64,418 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นร้อยละ 20.16)
  • กำไรสุทธิ: ทำจุดสูงสุดที่ 6,995 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นร้อยละ 51.20)
  • ส่วนของผู้ถือหุ้น: เติบโตมากที่สุดถึงร้อยละ 26.08

ปี 2567 (2024): ปีของการปรับฐาน

  • รายได้รวม: ลดลงอย่างมากร้อยละ 20.86 เหลือ 50,980 ล้านบาท
  • กำไรสุทธิ: ลดลงร้อยละ 20.40 เหลือ 5,567 ล้านบาท
  • สินทรัพย์รวม: ยังคงเติบโตต่อเนื่องและทำจุดสูงสุดที่ 45,983 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.78)

ปี 2568 (2025): ปีล่าสุด

  • รายได้รวม: ค่อนข้างคงที่ที่ 51,225 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.48)
  • กำไรสุทธิ: ปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยเป็น 5,906 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.08), ตัวเลขนี้คือ "กำไรเกือบ 6,000 ล้านบาท" ที่พนักงานอ้างถึง
  • หนี้สินรวม: ลดลงเหลือ 12,695 ล้านบาท (ลดลงร้อยละ 6.10)
  • สินค้าคงเหลือ: มีการลดลงอย่างมากถึงร้อยละ 38.59 เหลือ 4,033 ล้านบาท,

ท้ายที่สุด เมื่อการเจรจาถึงทางตัน แม้จะมีการเจรจามาแล้วถึง 11 ครั้ง บริษัทฯ จึงใช้สิทธิ "ปิดงานงดจ้าง" ซึ่ง น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.แรงงาน ยืนยันว่า ไม่ใช่การ "เลิกจ้าง" แต่เป็นการใช้สิทธิของนายจ้างตาม พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์

เมื่อข้อพิพาทตกลงกันไม่ได้ การปิดงานนี้ส่งผลให้พนักงานที่เกี่ยวข้องจะไม่ได้รับค่าจ้างในช่วงเวลาที่มีผลบังคับใช้

โดยล่าสุด กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานได้รับคำสั่งให้เร่งหาทางออก และจะมีการเจรจาไกล่เกลี่ยข้อพิพาทครั้งที่ 12 ในวันที่ 8 ธันวาคมนี้ เพื่อหาข้อสรุปที่เป็นธรรมต่อทุกฝ่ายต่อไป