"คนละครึ่งพลัส" พลิกชีวิต SME ปลุกเศรษฐกิจฐานราก เงินสะพัดหลายหมื่นล้าน

16 พ.ย. 2568 | 22:08 น.

'สมาคมภัตตาคารไทย' เผยว่า "คนละครึ่งพลัสแรงจัด! ดันยอดขายร้านอาหารพุ่ง" โครงการนี้สร้าง 'ความสุขในการใช้จ่าย' ให้ 20 ล้านผู้ใช้สิทธิ์ และยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ประกอบการ ดันเม็ดเงินหลายหมื่นล้านหมุนเวียนในระบบ

KEY

POINTS

  • โครงการ “คนละครึ่งพลัส” ประสบความสำเร็จในการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก โดยมุ่งเป้าช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อย (SME) โดยตรง ทำให้ผู้ค้า 5-6 แสนรายมีรายได้เพิ่มขึ้นและคุณภาพชีวิตดีขึ้น
  • สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจหลายหมื่นล้านบาท จากการใช้จ่ายของประชาชน 20 ล้านคนสู่ร้านค้าขนาดเล็ก ทำให้เกิดการลงทุนและซื้อขายต่อเนื่อง
  • ช่วยลดภาระค่าครองชีพให้ประชาชน และกระตุ้นการใช้จ่ายในวงกว้าง ครอบคลุมทั้งร้านอาหาร การขนส่งสาธารณะ และสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น

นางฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย เปิดเผยข้อมูลกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่าโครงการ "คนละครึ่งพลัส" (คนละครึ่งพาส) เป็นเครื่องมือทางเศรษฐกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง ด้วยการออกแบบที่มุ่งเป้าไปที่การกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากและส่งเสริมคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างแท้จริง โครงการนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงแค่มาตรการลดภาระค่าครองชีพเท่านั้น แต่ยังเป็นกลไกสำคัญในการจุดประกายกำลังซื้อและการลงทุนหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจจุลภาค

หัวใจสำคัญของโครงการคนละครึ่งพลัสคือการมุ่งเน้นความช่วยเหลือไปยังเศรษฐกิจฐานรากอย่างชัดเจน โดยกระทรวงการคลังได้ดำเนินการคัดกรอง ผู้ประกอบการอย่างเข้มงวดเพื่อให้มั่นใจว่าผู้ที่เข้าร่วมโครงการเป็น "ฐานราก" จริง ๆ หรือเป็นกลุ่มไมโคร SME ที่ต้องการความช่วยเหลือ

การคัดกรองที่เข้มงวดนี้ส่งผลให้จำนวนร้านค้าที่ลงทะเบียนในระบบ "ถุงเงิน" ในรอบนี้มีประมาณ 5-6 แสนราย ซึ่งแม้จะน้อยกว่าโครงการรอบแรก ๆ แต่ก็สะท้อนถึงความตั้งใจของรัฐบาลที่ต้องการให้เงินอุดหนุนกระจายตัวไปยังผู้ประกอบการรายเล็กที่สุดอย่างตรงจุด

แม้จะเป็นโครงการที่เน้นการลดค่าครองชีพ แต่คนละครึ่งพลัสก็มีขอบเขตการใช้จ่ายที่กว้างขวางเพื่อให้เงินอุดหนุนสามารถเข้าถึงและช่วยเหลือ "คนตัวเล็ก ๆ" ได้ในหลายมิติ โดยการใช้จ่ายไม่ได้จำกัดอยู่แค่ร้านอาหาร แต่ยังครอบคลุมในหลายหมวดหมู่ เช่น ประชาชนสามารถใช้สิทธิ์เพื่อซื้ออาหารสัตว์เลี้ยง เช่น อาหารแมว หรืออาหารสัตว์ได้ รวมถึงการใช้จ่ายกับระบบขนส่งสาธารณะและรถแท็กซี่ ซึ่งช่วยลดภาระการเดินทางในชีวิตประจำวันของประชาชนได้เป็นอย่างดี

โครงการนี้สร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมในเชิงลึกต่อทั้งผู้ใช้งานและผู้ประกอบการ โดยมีประชาชนที่ได้ใช้สิทธิ์ประมาณ 20 ล้านคน ซึ่งโครงการช่วยลดภาระค่าครองชีพและเปรียบเสมือนการ "เติมเงินในกระเป๋า" ให้กับผู้ใช้งาน สิ่งที่พิเศษคือการสร้าง "ความสุขในการใช้จ่าย" โดยประชาชนมีความสุขที่ได้ใช้สิทธิ์ ตัวอย่าง การซื้ออาหาร 200 บาท แต่ได้รับปริมาณอาหารเทียบเท่า 400 บาท

นางฐนิวรรณ กุลมงคล

สำหรับผู้ประกอบการในระบบถุงเงิน 5-6 แสนราย โครงการนี้ส่งผลให้พวกเขามีรายได้เยอะขึ้น นำไปสู่การมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น บางรายถึงกับกล่าวว่าโครงการนี้ได้ "เปลี่ยนชีวิต" ของพวกเขาไปเลย หากนับรวมสมาชิกในครอบครัวของผู้ประกอบการแต่ละราย ผู้ที่ได้รับผลกระทบเชิงบวกต่อคุณภาพชีวิตจะมีจำนวนเป็นหลักล้านคน

โครงการคนละครึ่งพลัสยังเป็นกลไกสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจหมุนเวียนได้ดีและ "เงินสะพัด" อย่างแท้จริง เมื่อเงินจากกระเป๋าประชาชนถูกโอนไปยังผู้ประกอบการรายเล็ก ก็จะเกิดกลไกการลงทุนต่อทันที กล่าวคือ ผู้ประกอบการเมื่อมีรายได้ก็จะนำเงินไปซื้อของมาลงทุนต่อ ทำให้เกิดการหมุนเวียนอย่างต่อเนื่อง ณ ช่วงเวลาดังกล่าว มีมูลค่าการใช้จ่ายไปแล้วหลายหมื่นล้านบาท ซึ่งถือว่ามีเงินหมุนเวียนในระบบเยอะมาก โครงการนี้จึงเปรียบเสมือน "เครื่องยนต์ขนาดเล็กหลายล้านตัวที่ทำงานพร้อมกัน" ในระบบเศรษฐกิจฐานราก ก่อให้เกิดการจุดติดของกำลังซื้อและการลงทุนหมุนเวียนอย่างรวดเร็วและทั่วถึง

โครงการในรอบนี้แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพการจัดการที่ดีมาก โดยกระทรวงการคลังได้นำเอาปัญหาเดิม ๆ มาแก้ไขได้เกือบทุกจุด ซึ่งอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้งานและผู้ประกอบการเป็นอย่างมาก แม้ว่าโครงการเฟส 1 จะหมดลงในช่วงสิ้นปี รัฐบาลก็มีความต้องการที่จะต่อโครงการนี้ไปจนถึงเดือนมกราคม

โดยทราบดีว่าช่วงปีใหม่เป็นช่วงที่คนไทยใช้เงินและเดินทางท่องเที่ยว ซึ่งเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการใช้มาตรการนี้เพื่อสร้างความสุขและขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง โครงการคนละครึ่งพลัสจึงนับเป็นกรณีศึกษาความสำเร็จของการใช้จ่ายภาครัฐที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ ก่อให้เกิดผลกระทบเชิงบวกในวงกว้าง ทั้งในด้านการลดภาระค่าครองชีพ การยกระดับคุณภาพชีวิต และการเร่งการหมุนเวียนของเงินในระบบเศรษฐกิจฐานรากอย่างมีประสิทธิภาพ