ดร.ปรเมธี วิมลศิริ : 'จริง ดี ถูกต้อง ประสานงาน' หลักการคนสภาพัฒน์
8 เดือนเศษบนเก้าอี้เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือที่เรียกสั้น ๆ ติดปากว่า "เลขาฯสภาพัฒน์" นับเป็น 8 เดือนของความท้าทายของ"ดร.ปรเมธี วิมลศิริ" ลูกหม้อ ที่เติบโตจนนั่งเก้าอี้เบอร์ 1 ของหน่วยงานที่เป็นกลไกสำคัญในการวางแผนพัฒนาประเทศ เป็นความท้าทายเพราะมารับตำแหน่งในท่ามกลางภาวะ 4 กระแสใหญ่ประชันกันพอดีกระแสที่ 1 การปฏิรูปประเทศ ที่เป็นกระแสเรียกร้องต้องการให้มีการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงประเทศในแทบทุกด้าน โดยรัฐบาลคสช.กำหนดเป็นหนึ่งในเป้าหมายประเทศ และตั้งหน่วยงานผลักดันทั้งสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) จนมาเป็นสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ(สปท.)
กระแสที่ 2 การวางยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ซึ่งได้กำหนดไว้ในร่างรัฐธรรมนูญแล้ว ตามที่รัฐบาลเห็นว่าประเทศชาติควรจะมีเป้าหมาย และกรอบการดำเนินงานสำคัญ ที่ยาวกว่าแผนพัฒนาฯ ให้เห็นทิศทางระยะยาว
"ผมเข้ารับตำแหน่งในช่วงที่สศช.อยู่ระหว่างการร่างแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ที่จะประกาศใช้ระหว่างปี 2560-2564 พอดี ก็คงต้องใช้แผนพัฒนาฯเป็นกลไกหนึ่งในการกำหนดกรอบ ถ่ายทอดประเด็นให้ทั้งเรื่องการปฏิรูปและแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี อยู่ในทิศทางเดียวกัน และเตรียม สศช. ในฐานะที่ทำงานเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ ให้พร้อมรองรับสิ่งที่จะเกิดขึ้น หรือหากได้รับมอบหมายบทบาทให้เป็นกลไกนำยุทธศาสตร์ไปสู่การปฏิบัติ ซึ่งเป็นโจทย์ใหญ่ของสศช."
ยังมีกระแสที่ 3 คือ นโยบายและยุทธศาสตร์ของรัฐบาล เวลานี้มุ่งตรงพื้นที่มากขึ้น อาทิ เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ คลัสเตอร์อุตสาหกรรมเป้าหมาย การพัฒนาหัวเมืองหลักรับโครงข่ายคมนาคมระบบรางใหม่ งานของสภาพัฒน์ย้อนกลับไปคล้ายยุคเร่งรัดลงทุนพัฒนาโครงการชายฝั่งทะเลตะวันออก (อีสเทิร์นซีบอร์ด) ที่ต้องเตรียมเรื่องกำลังคนที่อาจต้องเพิ่มขึ้น ตอนนี้สภาพัฒน์มีสำนักงานพัฒนาภาคที่เชียงใหม่ ,ขอนแก่น, สงขลา แต่ต่อไปก็ต้องขยายบทบาทสำนักงานพัฒนาภาคที่อาจเพิ่มขึ้น
งานยากยังมีจากกระแสที่ 4 คือ โลกในยุคแห่งความผันผวน ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ทั่วโลกส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ทั้งภัยธรรมชาติ หรือความมั่นคงของประเทศหนึ่ง ๆ สามารถส่งผลกระทบไปได้ทั่วโลก "แต่ต้องถือว่าเมืองไทยโชคดี สามารถอยู่ท่ามกลางความผันผวนได้โดยไม่กระทบมาก หรือสามารถฟื้นตัวได้เร็ว เพราะมีความหลากหลายของเศรษฐกิจ"
กระนั้น เลขาฯสภาพัฒน์ก็ชี้ว่าจุดอ่อนของไทย ถ้าไม่นับเรื่องการเมือง การบริหารแล้ว เรามีพื้นฐานที่ดีแต่ยังไม่ค่อยได้สร้างโอกาสหรือใช้ประโยชน์ให้เต็มที่ อาทิ เป็นผู้นำในการผลิตสินค้าเกษตร แต่มีการแปรรูปหรือสร้างมูลค่าเพิ่มได้น้อย มีต้นทุนโลจิสติกส์สูง ทำให้มีความสามารถในการแข่งขันจำกัด
ดร.ปรเมธี สำเร็จการศึกษาปริญญาตรีเศรษฐศาสตร์ ด้านเศรษฐศาสตร์ปริมาณวิเคราะห์ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีแรงผลักดันและได้รับแรงบันดาลใจ ในการใช้ความรู้เศรษฐศาสตร์เพื่อพัฒนาประเทศจาก"ดร.โกร่ง"วีรพงษ์ รามางกูร ซึ่งเป็นอาจารย์ที่ปรึกษา ที่เวลานั้นเป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจให้กับพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี
ศึกษาต่อปริญญาโทความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ด้านเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย เมืองนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เมื่อเรียนจบปริญญาโทก็เริ่มเข้าทำงานที่ สศช.ในปี 2530 โดยเป็นเจ้าหน้าที่วิเคราะห์นโยบายและแผน 4 กองวางแผนส่วนรวม ต่อมาได้รับทุนของ สศช. ศึกษาต่อปริญญาเอกเศรษฐศาสตร์ ด้านเศรษฐศาสตร์การเงินและการคลัง มหาวิทยาลัยคาร์ลตัน เมืองออตตาวา แคนาดา กลับมาทำงานที่สศช. ก่อนที่จะก้าวสู่ตำแหน่งสูงสุดเป็นเลขาธิการสศช.เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2558 โดยมีวาระ 4 ปี
โดยสายงานที่เติบโตในสศช. จะดูด้านเศรษฐกิจมหภาคและบัญชีประชาชาติ จึงทำให้ภาพเศรษฐกิจส่วนรวม ตั้งแต่ปลายช่วงที่เศรษฐกิจไทยยังรุ่งโรจน์ ผ่านวิกฤติต้มยำกุ้งปี 2540 มาจนถึงปัจจุบันและได้ทำงานเกี่ยวข้องกับกลไกการบริหารเศรษฐกิจมหภาคที่สำคัญ ๆ เช่น ฝ่ายเลขานุการ ครม.เศรษฐกิจ ในหลายรัฐบาล รวมถึงเคยได้รับการแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของนายกรัฐมนตรี ในช่วงปลายรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช
หลักการบริหาร ดร.ปรเมธี กล่าวว่าในการวิเคราะห์เชิงวิชาการ และในการเสนอความเห็นต่าง ๆให้กับรัฐบาลก็ดี เป็นหลักการอยู่แล้วที่เราต้องยึดข้อเท็จจริง เรื่องจริยธรรมและความถูกต้อง หรือในส่วนของการทำงานเชิงปฏิบัติ สศช.เป็น หน่วยงานที่มองนโยบาย หรือประเด็นในแบบที่เป็นบูรณาการ ในขณะที่กระทรวงหรือหน่วยงานอื่นอาจจะโฟกัสที่ดูหรือที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ดังนั้น สศช.ต้องดูประเทศให้สมดุลยั่งยืน ทั้งในเรื่องภาพรวมเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นการวิเคราะห์ในหลายมิติ คนของสศช.ต้องทำงานประสานงานได้ ทำงานเป็นทีม ซึ่งเป็นหลักการที่คนสภาพัฒน์ ยึดถือในการทำงานมาตลอด
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,168 วันที่ 23 - 25 มิถุนายน พ.ศ. 2559