เอกชน ชี้ 3 อุปสรรคสำคัญขวางธุรกิจไทยปรับสู่ความยั่งยืน 

03 ต.ค. 2568 | 09:20 น.
อัปเดตล่าสุด :03 ต.ค. 2568 | 09:26 น.

เอกชน เผย 3 อุปสรรคขวางธุรกิจไทยปรับสู่ความยั่งยืน ระบุ ไทยอยู่ในช่วงสร้างความพร้อมด้านกฎหมายและข้อบังคับ แนะรัฐเร่งผลักดันกฎหมายสร้างแรงจูงใจเอสเอ็มอี

KEY

POINTS

  • ปัญหาด้านความรู้และทัศนคติ (Mindset) ของผู้ประกอบการที่ยังต้องปรับเปลี่ยนและสร้างเป้าหมายที่ชัดเจนในการดำเนินธุรกิจเพื่อความยั่งยืน
  • อุปสรรคด้านต้นทุนในการปรับใช้เทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อม และการขาดความร่วมมือกันตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain)
  • การผลักดันจากภาครัฐที่ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น โดยเฉพาะกฎหมายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ยังไม่มีผลบังคับใช้เพื่อกระตุ้นภาคธุรกิจ

จากงานสัมมนา "A Call for Adaptation: The Sustainability in Trade & Industry" จัดโดยหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ร่วมกับ Sustainability Expo 2025 (SX2025)ช่วงเสวนา Collab Talk : สีสัน สู่ Green Living

นายเจมส์ ดูอัน ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริการ บริษัท คอรัล ไลฟท์ จำกัด Coral Life) กล่าวว่า ในเรื่องของอาคารประหยัดพลังงานในอาเซียนนั้นสิงคโปร์ทำได้ดีกว่าไทย ขณะที่ของไทยมีการพัฒนาในเรื่องของกฎหมายและเทคโนโลยีที่มาในระดับที่ไกลพอสมควรเพียงแต่ต้องใช้เวลาในการแนะนำทำความเข้าใจในเรื่องของเทคโนโลยีต่าง ๆ เหล่านี้เข้าสู่ตลาด

ในส่วนของภาคอุตสาหกรรมวันนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่าจะต้องไปถึงจุดของการสร้างความยั่งยืนซึ่งการดูแลอาคารประหยัดพลังงานนั้นต้องคำนึงถึงองค์ประกอบ 3 ประการ

เรื่องแรกคือ ประสิทธิภาพของการใช้พลังงาน สอง คือ BIO ต้องดีต่อสุขภาพของคนที่ใช้อาคาร และ สาม ซึ่งไทยยังอยู่ในขั้นนี้ คือ การใช้ Certificate ในการวัดผล เชื่อว่าอนาคตอาคารที่สร้างออกมาจะเป็นต้องสามารถวัดผลลัพธ์ได้ทุกเดือน ทุกวัน เนื่องจากการสร้างอาคารยั่งยืนนั้นนอกจากจะต้องประหยัดพลังงานแล้วต้องตอบโจทย์ในเชิงของความคุ้มค่าทางการลงทุนผลทางธุรกิจได้ด้วย 

สำหรับอุปสรรคของอาคารสีเขียว เป็นเรื่องของความรู้โดยต้องเปลี่ยนมายด์เซ็ตก่อน มีเป้าหมายที่ชัดเจน เช่น จะลดพลังงานลงให้ได้เท่าไร ซึ่งแนวคิดสิ่งก่อสร้างประหยัดพลังงานนี้สามารถทำได้ทุกขนาด ตั้งแต่บ้านถึงสนามบิน รวมถึงความร่วมมือของซัพพลายเชนส์ทั้งระบบซึ่งในอนาคตถ้ามีความพร้อมมากขึ้นเรื่องของต้นทุนเรื่องเหล่านี้จะลดลงได้

ถามถึงการผลักดันจากภาครัฐในเรื่องนี้ของไทยอยู่ในช่วงของการสร้างความพร้อมในเรื่องของกฎหมาย ข้อบังคับต่าง ๆ อย่างไรก็ดี สำหรับประเทศไทยนั้น ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาตื่นตัวในเรื่องนี้หลังจากสถานการณ์โควิดโดยเฉพาะในกลุ่มของอุตสาหกรรมเกี่ยวกับอาคารต่างมองหาเทคโนโลยีเพื่อการประหยัดพลังงานและทำคุณภาพอากาศให้ดีขึ้น เป็นต้น

ทั้งนี้ อยากให้รีบออกร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศออกมาโดยเร็วซึ่งจะช่วยมาผลักดันให้ธุรกิจเอสเอ็มอีมีกำลังใจทำมากขึ้น  

ด้านนายชเล วุทธานันท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เท็กซ์ไทล์ แกลลอรี่ จำกัด (PASAYA) กล่าวถึงการทำโรงงานสีเขียวโดยยอมรับว่า อุตสาหกรรมสิ่งทอนับเป็นตัวทำลายธรรมชาติที่รุนแรงมาก วิธีที่จะสร้างความยั่งยืนได้ ต้องลดกระบวนการทำลายธรรมชาติ ลดกระบวนการทำลายมลภาวะลงให้ได้เพื่อให้อยู่กับชุมชนได้

เริ่มจากเรื่องของการบำบัดน้ำเสียก่อนปล่อยลงแม่น้ำลำคลอง ซึ่งขึ้นอยู่กับสำนึกที่ต้องควบคู่มากับการมีความรู้ด้วยซึ่งสามารถทำเรื่องเหล่านี้ในต้นทุนที่น้อยได้ที่สำคัญเมื่อทำแล้วเกิดความคุ้มค่าแน่นอนเพราะเป็นสิ่งที่ทั่วโลกทำกัน

สิ่งที่ทำ คือ การร่วมกับชุมชน ไม่ปล่อยน้ำเสียลงแม่น้ำลำคลอง น้ำที่ผ่านการบำบัดแล้วจึงปล่อยลงสู่สาธารณซึ่งผ่านมาตรฐานของกระทรวงอุตสาหกรรม เชื่อว่าเมื่อทำสภาพแวดล้อมภายในโรงงานให้ดีแล้วสินค้าจะสามารถทำสินค้าให้มีราคาที่ดีได้แน่นอน 

อย่างไรก็ดี การสร้างความยั่งยืนในอุตสาหกรรมสิ่งทอนั้น นายชเล ตั้งข้อสังเกตว่า ทุกวันนี้คุยกันเรื่องของกรีนโปรดักส์ และการรีไซเคิลซึ่งแค่นี้ไม่พอ ปัญหาที่ส่งผลกับโลกทุกวันนี้ คือ เรื่องของโลกร้อนซึ่งส่งผลกระทบกับการใช้ชีวิต เกิดภัยพิบัติต่าง ๆ มากขึ้น ที่สำคัญหากปัญหาโลกร้อนไปถึงจุดที่กล่าวกันว่า กลับไม่ได้ จะส่งผลกระทบต่าง ๆ ตามมามากมาย อาทิ เกิดภัยแล้ง น้ำทะเลหนุนสูง

ทางออกของเรื่องนี้ คือ ต้องช่วยกันลดคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งสามารถทำได้ไม่ยาก เช่น เลิกใช้พลังงานจากฟอสซิลหันมาใช้พลังงานจากไฟฟ้าและพลังงานแสงอาทิตย์แทน