นายสรเทพ โรจน์พจนารัช เจ้าของร้านอาหารในเครือสตีฟ คาเฟ่ และประธานชมรมผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหาร เปิดเผยข้อมูลกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่าสถานการณ์การเมืองระว่างอิสราเอล-อิหร่าน ไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจมหภาคของประเทศไทยมากนัก
เนื่องจากการส่งออกจากไทยไปยังประเทศเหล่านี้มีสัดส่วนที่ต่ำมาก โดยการส่งออกไปอิสราเอลและอิหร่านมีแค่ 0.27% ของการส่งออกทั้งหมดซึ่งข่าวล่าสุดรายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศข้อตกลงหยุดยิง “อย่างสมบูรณ์และเด็ดขาด” ระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน ตอนนี้ก็น่าเริ่มคงที่แล้ว แต่ก็ต้องติดตามสถานการณ์ต่อไป
ส่วนผลกระทบหลักจะเห็นได้ในด้านการท่องเที่ยว โดยเฉพาะตลาดนักท่องเที่ยวจากประเทศในตะวันออกกลาง หากสถานการณ์ยืดเยื้อออกไป อาจส่งผลให้ตลาดนี้หายไปถึง 20% ในช่วงฤดูท่องเที่ยวของไทยที่มักจะอยู่ในช่วงกลางปี เช่น กรกฎาคม สิงหาคม กันยายน ซึ่งเป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลางเดินทางเข้ามามากที่สุด
ตลาดท่องเที่ยวจากอิสราเอลในช่วงนี้ยังคงเติบโต แต่เริ่มชะงักลง และคาดการณ์ว่าจะมีผลกระทบราว 5% ต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย ส่วนในแง่ของพลังงานนั้น แม้ว่าจะมีการพูดถึงการปิดช่องแคบฮอร์มุซ และส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน แต่ในความเป็นจริงอิหร่านและอิสราเอลผลิตน้ำมันเพียง 1.5% ของน้ำมันโลก และประเทศไทยยังมีการกักตุนสำรองน้ำมันดิบไว้ใช้ได้ราว 60 วัน
นอกจากนี้ ผลกระทบในระยะสั้นที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์เหล่านี้ คือการตกต่ำในตลาดการเงิน ตลาดทุน และตลาดอสังหาริมทรัพย์ โดยจะเกิดจากความวิตกกังวลในระยะสั้น ทำให้ภาพรวมของเศรษฐกิจอาจได้รับผลกระทบจากความกังวลทางจิตวิทยา และตลาดทางการเงินอาจมีความผันผวน
สถานการณ์นี้อาจมีผลดีและผลร้ายในบางประเด็น ในด้านผลร้ายผลกระทบจะค่อนข้างจำกัดในเรื่องของสินค้าเกษตรที่ผลิตในพื้นที่ชายแดน ซึ่งส่วนใหญ่จะถูกส่งออกไปขายที่กัมพูชา และสินค้าอุปโภคบริโภคบางประเภทที่มีราคาไม่สูงมาก เนื่องจากการปิดด่าน ทำให้การค้าขายชะลอตัว แต่ผลกระทบนี้จะเกิดขึ้นในวงจำกัดในพื้นที่ชายแดน
นายสรเทพกล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรจะต้องเร่งหาช่องทางในการระบายสินค้าการเกษตรที่เหลือในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยอาจต้องประสานกับหน่วยงานภาคเอกชนเพื่อช่วยซื้อสินค้ากลับเข้ามาและนำไปใช้ในเมืองหลวงหรือจังหวัดใหญ่ๆ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารในระยะยาว เพราะราคาสินค้าการเกษตรอาจลดลงจากปีที่แล้ว
ส่วนข้อดีจากสถานการณ์นี้ คือเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังในพื้นที่ได้รับประโยชน์ เนื่องจากการปิดด่านทำให้การนำเข้ามันสำปะหลังจากกัมพูชาลดลง ซึ่งทำให้ราคามันสำปะหลังปรับตัวสูงขึ้นจากที่เคยต่ำมากในปีที่ผ่านมา เนื่องจากการไหลบ่าของมันสำปะหลังจากกัมพูชาที่ทำให้ราคาตกต่ำ
หนึ่งในเรื่องที่ครม. ชุดใหม่ต้องเร่งดำเนินการคือการกระตุ้นเศรษฐกิจและแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชน ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคธุรกิจและความเป็นอยู่ของประชาชนในประเทศ
ผู้ประกอบธุรกิจหลายๆ คนรู้สึกว่ารัฐบาลชุดนี้ยังไม่มีการตอบสนองที่ชัดเจนในเรื่องเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาของภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจต่างๆ แม้จะมีการเรียกร้องจากหลายฝ่าย เช่น สภาอุตสาหกรรม หอการค้า หรือสมาคมร้านอาหาร แต่กลับได้รับคำตอบที่เงียบสงบ ซึ่งทำให้รู้สึกเหมือนรัฐบาลกำลัง "แบ่งเค้กกัน" มากกว่าการบริหารบ้านเมืองอย่างจริงจัง รัฐบาลควรหันมามองเสียงสะท้อนของประชาชนและเร่งใช้งบประมาณที่มีอยู่ให้ตรงกับความต้องการ เช่น งบประมาณ 1.5 แสนล้านที่ผ่านมาซึ่งไม่เคยเห็นการกระตุ้นที่มีผลจริง
ในด้านการจัดการเศรษฐกิจภายในประเทศ ยกตัวอย่างปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้น โดยเฉพาะราคาสินค้าเกษตรที่ตกต่ำ แต่ราคาผลิตภัณฑ์ที่ถึงมือลูกค้ากลับแพงขึ้น ซึ่งรัฐบาลต้องหามาตรการที่แก้ไขกลไกตลาดให้เกิดความเป็นธรรม นอกจากนี้ยังเรียกร้องให้รัฐมนตรีที่ดูแลเรื่องพลังงานและการคลังมีการดำเนินการเพื่อควบคุมต้นทุนในการทำธุรกิจ รวมถึงลดภาระดอกเบี้ยสำหรับผู้ประกอบการSMEที่กำลังประสบปัญหา
ส่วนสถานการณ์ในภาคการท่องเที่ยว กำลังเผชิญกับปัญหาการขาดดุลนักท่องเที่ยว เนื่องจากหลายประเทศเริ่มเปลี่ยนจุดหมายไปยังสถานที่อื่น เช่น เวียดนามและจีน และประเทศไทยไม่สามารถสร้างความยั่งยืนในการท่องเที่ยวได้อย่างที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะในเรื่องของการวางแผนท่องเที่ยวในระยะยาว
นโยบาย 1.15แสนล้านบาทที่รัฐบาลคาดว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและกําลังซื้อของประชาชน โดยมองว่าการใช้เงินในนโยบายนี้เป็นเรื่องที่ยังไม่ชัดเจน โดยเฉพาะการจัดสรรงบประมาณไปในด้านต่างๆ เช่น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำและระบบน้ำประปา ซึ่งควรจะเป็นงบประมาณประจำปีมากกว่าที่จะมาจากงบกระตุ้นเศรษฐกิจ
“สิ่งที่รัฐบาลกำหนดในโครงการใหญ่ๆ เช่น การดูแลปัญหาน้ำท่วม หรือการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานนั้น ถือเป็นเรื่องที่จำเป็นและควรทำอยู่แล้ว แต่ปัญหาคือมันยังไม่ได้เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นหรือช่วยกระตุ้นกำลังซื้อที่หายไป”
ปัจจุบันกำลังซื้อในประเทศลดลงมากกว่า 50% และสิ่งที่รัฐบาลควรทำคือการเร่งฉีดเงินเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อของประชาชนโดยตรง เพื่อให้เกิดผลในระยะสั้น ในขณะนี้คนในภาคอุตสาหกรรมเริ่มปลดคนเยอะมากและธุรกิจร้านอาหารรวมถึงหลายๆธุรกิจได้รับผลกระทบโดยตรง ซึ่งทำให้เกิดปัญหาการตกงานและแรงงานขาดแคลน
ร้านอาหารเริ่มประสบปัญหามากขึ้น โดยบางร้านไม่จ้างพนักงานเพิ่ม และบางร้านที่ปิดตัวไปทำให้เกิดปัญหาการว่างงานในภาคแรงงาน หากร้านอาหารไม่สามารถขายดีได้ ย่อมมีผลกระทบต่อธุรกิจต่างๆ เช่น ตลาดสดที่ต้องซื้อวัตถุดิบจากเกษตรกร รวมถึงภาคขนส่งที่ต้องขนส่งสินค้า
นายสรเทพได้เรียกร้องให้รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น โครงการ "คนละครึ่ง" โดยแนะนำให้รัฐบาลจัดสรรงบประมาณ 5,000 ล้านบาท เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้จ่ายได้มากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าและพนักงานเอกชนที่ได้รับผลกระทบ “เงิน 1,500 บาทต่อเดือนจากโครงการนี้จะช่วยบรรเทาค่าครองชีพให้กับพนักงานออฟฟิศและพ่อค้าแม่ค้าริมทางได้ และสามารถช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายในระยะสั้นได้จริง”