นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายจากหลายปัจจัย ทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาเรื่องภาษีของสหรัฐฯ และเรื่องไทย-กัมพูชา ความผันผวนทางการเมือง ตลอดจนการปรับ ครม. ที่กำลังเป็นประเด็นร้อนระอุอยู่ในขณะนี้
“เหตุการณ์ทางการเมืองในช่วง 1-2 วันที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดความตื่นเต้นตกใจและกระทบต่อตลาดหลักทรัพย์ในทันที ภาคเอกชนเราได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และมองว่าการปรับ ครม. น่าจะเป็นทางออกที่เบาที่สุดในบรรดาตัวเลือกของปัญหาทางการเมือง เพราะรัฐมนตรีที่จะเข้ามาดูแลกระทรวงต่าง ๆ ย่อมพยายามสร้างผลงานให้ดีที่สุด”
หากการปรับ ครม.เป็นไปอย่างราบรื่นและรวดเร็ว จะไม่ส่งผลให้เศรษฐกิจสะดุด แต่หากยืดเยื้อจะเป็นผลเสีย ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจ เพราะการลงทุนใหม่ ๆ ต้องพิจารณาถึงเสถียรภาพทางการเมืองเป็นหลัก
ส่วนปัญหาเรื่องการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา ผู้ประกอบการต้องติดตามข่าวสารการเปิด-ปิดด่านอย่างใกล้ชิด ปรับตัวอย่างรวดเร็วเพื่อหาช่องทางระบายสินค้าไปยังตลาดอื่น ซึ่งเรื่องนี้หอการค้าไทยก็ได้พูดคุยกันอยู่ และมีศูนย์ AFC (Agriculture and Food Coordination and Public Relations Center) พยายามเชื่อมโยงผู้ประกอบการกับกลุ่มค้าปลีกที่เป็นสมาชิกเพื่อช่วยระบายสินค้า ทั้งยังร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์ในการช่วยเหลือเกษตรกรด้วย
เรื่องภาษีสหรัฐฯ ก็เป็นอีกหนึ่งประเด็นน่ากังวลที่สุด ส่งผลกระทบต่องภาคธุรกิจและเศรษฐกิจของไทยมาตั้งแต่ต้นปี แม้ในช่วง 5 เดือนแรกจะเร่งส่งออกสินค้าเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีที่อาจสูงขึ้น แต่ตัวเลขเดือนมิถุนายนและครึ่งหลังปี 2568 ยังมีความไม่แน่นอนสูง เพราะยังไม่มีข้อสรุปอัตราภาษีที่ชัดเจน
นายวิศิษฐ์ กล่าวว่า แม้ภาคเอกชนจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองโดยตรง แต่เรื่องการเมืองก็เป็นตัวส่งเสริมสนับสนุนการเดินหน้าของประเทศ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น สิ่งสำคัญคือต้องมองถึงการเดินไปข้างหน้า โดยมีทางออกได้หลากหลาย
อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามข่าวสารใกล้ชิดและเตรียมรับมือทุกด้าน เนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบันมีความไม่แน่นอนสูง และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมักเป็น "สิ่งที่ไม่คาดฝัน" เป้าหมายคือทุกภาคส่วน ต้องพยายามผ่านช่วงเวลาที่มีความไม่แน่นอนสูงนี้ไปให้ได้