จับตาธุรกิจทันตกรรมเฟื่องฟู AOSC เร่งผลิตอุปกรณ์ป้อน/เล็ง 2 ปีขยายเออีซี

12 มิ.ย. 2559 | 07:00 น.
"แอดวานซ์ ออร์โทดอนติคฯ" ชี้เทรนด์ดัดฟันแรงต่อเนื่อง ปลุกคลินิกทันตกรรมคึกคัก ชิมลางดีไซน์และผลิตอุปกรณ์ออกวางจำหน่าย ชูจุดแข็งด้านราคาต่ำกว่าสินค้านำเข้า 10 เท่า เล็งพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ทั้งลวด ตะขอ ฯลฯ มั่นใจสิ้นปีโกยยอดขายพุ่งขึ้น 100%

ท.พ. ดร. ชาตรี แก้วสุริยธำรง ผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท แอดวานซ์ ออร์โทดอนติค ซิสเต็ม จำกัด ผู้ออกแบบและผลิตเครื่องมือทันตกรรมจัดฟัน ภายใต้ชื่อ "AOSC" เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ภาพรวมของอุตสาหกรรมเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ไทยมีแนวโน้มและการเติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีการนำเข้าเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ ตลอดจนวัตถุดิบ และชิ้นส่วนต่างๆจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะประเทศในแถบตะวันตก ซึ่งบางครั้งมีการออกแบบเครื่องมือที่ไม่เหมาะกับชาวเอเชีย จึงร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรด้านการออกแบบเครื่องมือแพทย์ ในการพัฒนาดีไซน์อุปกรณ์และเครื่องมือทันตกรรมที่เหมาะสมกับคนไทยขึ้น

"บริษัทใช้งบประมาณราว 50 ล้านบาทในการทำตลาด และศึกษาและวิจัยเพื่อดีไซน์และออกแบบและพัฒนาเครื่องมือทันตกรรมจัดฟันตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา จนล่าสุดบริษัทเปิดตัว เครื่องมือจัดฟันแบบติดแน่น (Bracket) หรือที่เรียกกันว่า เหล็กจัดฟัน ขึ้นมาใหม่ โดยอาศัยหลักของ Active-Passive ในการออกแบบ เกิดเป็นระบบการจัดฟันรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า Dual-Ligating System หรือ เครื่องมือจัดฟันแบบรัดยางสองชั้น ออกวางจำหน่าย นอกจากนี้ยังมียางอีลาสติก , ลวด , ตะขอ ฯลฯ เพิ่มขึ้นอีกในอนาคต"

ทั้งนี้ปัจจุบันอุปกรณ์ดัดฟันที่ใช้ในเมืองไทย กว่า 90% นำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งมีราคาที่สูงกว่ามาก เมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาและดีไซน์ขึ้นเอง จะมีราคาถูกกว่า 10 เท่า และที่สำคัญคือพัฒนามาเพื่อให้เหมาะกับคนไทย

โดยกลุ่มเป้าหมายหลักของบริษัท จะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มได้แก่ กลุ่มคลินิกทันตกรรม และกลุ่มผู้บริโภคทั่วไป โดยบริษัทชูกลยุทธ์การตลาดภายใต้แนวคิด "Creating Smiles with Advanced Technology" เลือกใช้อุปกรณ์ที่ทันสมัย เหมาะสมกับการใช้งาน และใช้งานง่าย และทำการสื่อสารไปยังกลุ่มทันตแพทย์จัดฟันผ่านช่องทางเฟซบุ๊ก, ไลน์แอด และวารสารด้านทันตกรรม พร้อมทั้งให้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องการรักษาทางทันตกรรมจัดฟันแก่ผู้บริโภค โดยปีแรกบริษัทมุ่งเน้นการทำตลาดในเมืองไทย และตั้งเป้าหมายที่จะมีส่วนแบ่งตลาดราว 10% จากตลาดรวมเครื่องมือและอุปกรณ์ทันตกรรม ซึ่งมีมูลค่ากว่า 1 พันล้านบาท ก่อนที่จะขยายตลาดไปยังประเทศในกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี ในอีก 2 ปีข้างหน้า

ท.พ. ดร. ชาตรี กล่าวอีกว่า แนวโน้มการจัดฟันในเมืองไทยยังเติบโตได้อีกมาก โดยจะเติบโตตามการผกผันของจำนวนประชากร ขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวจากประเทศเพื่อนบ้านที่เดินทางเข้ามาจัดฟันในไทยก็เพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน ถือเป็นสัญญาณที่ดีที่จะช่วยให้ธุรกิจพัฒนาและผลิตอุปกรณ์ทันตกรรมมีการเติบโตสูงขึ้น สำหรับผลประกอบการของบริษัทในปีนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายที่จะมีการเติบโตกว่า 100% หลังจากที่เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่นี้ออกวางจำหน่าย

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,164 วันที่ 9 - 11 มิถุนายน พ.ศ. 2559