“อมตะ” คาดยอดขายพื้นที่นิคมฯปี 66 โต10% รับต่างชาติย้ายฐาน

17 ม.ค. 2566 | 08:07 น.

“อมตะ” คารดยอดขายพื้นที่นิคมฯปี 66 โต10% รับต่างชาติย้ายฐานมาประเทศไทย โดยเฉพาะการลงทุนกลุ่มอิเล็กทรอนิสก์ ดาต้าเซ็นเตอร์ ที่ใช้ไทยเป็นฐานผลิตพุ่งสูง

นายวิบูลย์ กรมดิษฐ์ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่การตลาด บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ AMATA เปิดเผยว่า แนวโน้มการขายพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรมปี 2566 คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนประมาณ 10% เนื่องจากเริ่มเห็นสัญญาณการกลับมาของนักลงทุนต่างชาติเข้ามาต่อเนื่องตั้งแต่ปีที่ผ่านมา

โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ การผลิตรถจักรยานยนต์ รวมถึงการพัฒนาดาต้าเซ็นเตอร์(Data Center)ที่นักลงทุนเริ่มใช้ไทยเป็นฐานการผลิตมากขึ้น อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจโลกที่เริ่มเข้าสู่ภาวะถดถอย(Recession) อาจจะกระทบการลงทุนแต่มองเป็นเพียงระยะสั้นเท่านั้นขณะที่การลงทุนภาคการผลิตเป็นการลงทุนที่มองระยะยาว

ทั้งนี้ ในปี 66 ธุรกิจสาธารณูปโภค น้ำ และไฟฟ้า มีการเติบโตต่อเนื่อง มาจากการลงทุนใหม่ และฐานการผลิตเดิม โดยการลงทุนใหม่ต้องพิจารณาจากปัจจัยบวกที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ได้แก่ การเปิดประเทศของจีน ซึ่งไทยเป็นประเทศที่น่าลงทุน มีสิทธิประโยชน์ที่ดี โดย สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ได้มีการปรับสิทธิประโยชน์ของประเทศไทยให้ดีขึ้น ในขณะที่ประเทศไทยเองยังเลือกอุตสาหกรรมที่มีอนาคต มีการพัฒนาพลังงานทดแทนเข้ามาเสริมความแข็งแกร่งให้กับภาคการผลิต
 

การพัฒนาโครงการใหม่ประเภทพลังงานทดแทน เป็นเรื่องเรามองข้ามไม่ได้ ซึ่งบริษัทให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าว เพราะทิศทางของโลกมีความต้องการใช้พลังงานทดแทน เพื่อรับมือกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งทุกประเทศรวมทั้งประเทศไทยต้องทำหน้าที่ ในมุ่งเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ หรือที่เรียกว่า Net Zero Emission โดยเร็วที่สุด 

อมตะคาดยอดขายพื้นที่ในนิคมฯปี 66 โต10%

ซึ่งอมตะได้พัฒนาธุรกิจที่สอดรับกับนโยบายการขับเคลื่อนเศรษฐกิจแบบ BCG model (เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน เศรษฐกิจสีเขียว) เพื่อสร้างการเติบโตอย่างสมดุลทั้งด้านเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคม (ESG) ถือเป็นหัวใจสำคัญ

"ในความเป็นจริงแล้วเริ่มมองเห็นการกลับมาของนักลงทุนต่างชาติอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในกลุ่มอิเลคทรอนิกส์ การผลิตจักรยานยนต์ การพัฒนาดาต้าเซนเตอร์ ซึ่งเป็นพื้นที่เป้าหมายของนักลงทุนที่จะเข้ามาทั้งนิคมอมตะซิตี้ ระยอง และนิคมอมตะซิตี้ ชลบุรี โดยเฉพาะกลุ่มดาต้าเซนเตอร์นักลงทุนเริ่มใช้ประเทศไทยเป็นฐานมากขึ้น ซึ่งนิคมอมตะฯ มีระบบสาธารณูปโภคเพียงพอเพื่อการรองรับ โดยเฉพาะไฟฟ้า ซึ่งบริษัทมีโรงไฟฟ้าเป็นของตัวเอง รวมถึงการพัฒนาไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน"

สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2565 โดยเฉพาะยอดขายที่ดินในประเทศไทย เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้อยู่ 700 ไร่ โดยเฉพาะ นิคมฯ ที่จ. ชลบุรี ที่พบว่ามีการขายที่ดินดีมาก เนื่องจากนิคมฯของอมตะเป็นพื้นที่มีศักยภาพ สำหรับการลงทุนทั้งนักลงทุนในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งการลงทุนในพื้นที่นิคมฯถือเป็นกลไกหนึ่งที่จะสร้างงานและสร้างรายได้ให้กับประเทศไทยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภาพรวม
 

นายวิบูลย์ กล่าวอีกว่า ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ถดถอยเป็นสิ่งที่กังวลเพราะจะมีผลกระทบต่อการตัดสินใจลงทุนแต่เชื่อว่าเป็นเพียงระยะสั้นเพราะแต่ละโครงการเมื่อมีการตกลงซื้อขายที่ดินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว กว่าจะพัฒนาโครงการและเดินเครื่องการผลิตต้องใช้เวลาอีก 1 ปี

ส่วนการรับมือกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยในส่วนของอมตะนั้น ได้วางแผนการบริหารตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่มีความจำเป็นออกไป เพิ่มรายได้ประจำ (Recurring Income)  อาทิ  ค่าสาธารณูปโภคต่างๆ ค่าเช่าอาคารโรงงานสำเร็จรูป ฯลฯ  ซึ่งบริษัทมีรายได้ส่วนนี้เพิ่มขึ้นในระดับ 50% และหวังว่าจะมีสัดส่วนรายได้จาก recurring income เพิ่มขึ้นอีกในอนาคต