เปิดเส้นทาง 50 ปี ไอ.พี.วัน จากผู้บุกเบิกตลาดทำความสะอาด สู่ผู้นำตลาด FMCG

26 ก.ค. 2565 | 22:52 น.

เปิดเบื้องหลังความสำเร็จ 50 ปี ไอ.พี.วัน จากผู้บุกเบิกตลาดทำความสะอาด สู่การเป็นผู้นำตลาด FMCG พร้อมก้าวสู่ทศวรรษใหม่ ภายใต้กลยุทธิ์ Innovate Passionately

เจาะเบื้องหลังความสำเร็จบริษัท ไอ.พี.วัน ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์สินค้าอุปโภคบริโภค ภายใต้แบรนด์ไฮยีน วิกซอล วิซ ไอวี่ แดนซ์ และโฟกัส   จากวิกซอลขวดแรกสู่แบรนด์คนไทยจนก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำตลาด FMCG 

นายอุทัย ธเนศวรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไอ.พี. วัน จำกัด กล่าวว่า ไอ.พี. วัน

พร้อมกับกลยุทธิ์ขยายจากตลาดจากในประเทศ ไปสู่ตลาดต่างประเทศ และได้รับความไว้วางใจจากคู่ค้าและผู้บริโภคเป็นอย่างดี จนกระทั่งประสบความสำเร็จในกลุ่มประเทศ CLMV และหลากหลายประเทศจนถึงปัจจุบัน

นายอุทัย ธเนศวรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไอ.พี. วัน จำกัด กล่าวว่า ไอ.พี. วัน ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2515 เป็นบริษัทไทยรายแรกๆ ที่ผลิตและจำหน่ายสินค้าทำความสะอาดบ้าน โดยมุ่งมั่นที่จะเห็นคนไทยได้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ดี มีคุณภาพ สินค้าตัวแรกคือน้ำยาทำความสะอาดสุขภัณฑ์ “วิกซอล (Vixol)” ที่เกิดจากการค้นคว้าวิจัยนวัตกรรมสูตรของบริษัทเอง

 

และจากความสำเร็จของวิกซอลจึงได้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์สู่ตลาดในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ตามมาด้วยกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผ้าภายใต้แบรนด์ “ไฮยีน (Hygiene)” กลุ่มผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดบ้านภายใต้แบรนด์ “วิซ (Whiz)” กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคลภายใต้แบรนด์ “แดนซ์ (Dance)” “โฟกัส (Focus)” และกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มภายใต้แบรนด์ “ไอวี่ (Ivy)”

ปัจจัยหลักที่ทำให้ ไอ.พี. วัน ประสบความสำเร็จตลอด 50 ปีที่ผ่านมา คือ Consumer Centric การพัฒนาสินค้าจากความเข้าใจความต้องการของผู้บริโภค Insightful Innovation การสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ด้วยนวัตกรรม กล้าที่จะทำสิ่งที่แตกต่าง เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค และ High Quality Product การให้ความสำคัญกับคุณภาพของสินค้าเป็นหลัก ส่งผลให้หลายแบรนด์สินค้าของ ไอ.พี.วัน ได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคมาอย่างยาวนาน

 

อาทิ  ผลสำรวจพบว่ากว่า 72% ของครัวเรือนไทยมีผลิตภัณฑ์ไฮยีนอยู่ที่บ้าน และยังได้รับคัดเลือกให้เป็นแบรนด์ยอดนิยมอันดับ 1 ที่ผู้บริโภคเลือกซื้อมากที่สุดในไทย (Most Chosen Brands) ในกลุ่มสินค้า ผลิตภัณฑ์ประเภทดูแลบ้าน (Home Care) ติดต่อกันเป็นปีที่ 4 จาก Kantar, Brand Footprint 2022- Thailand

 

โควิด-19 และ อีคอมเมิร์ซ ปัจจัยเร่งให้ตลาด FMCG โต

สำหรับภาพรวมตลาด FMCG ของประเทศไทยในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องและมีมูลค่ารวมกว่า 4 แสนล้านบาท แม้ว่าผู้บริโภคกว่า 60% จะได้รับผลกระทบจากโควิด-19 แต่การจับจ่ายเข้าบ้าน (Take Home Grocery) ปี 2564 กลับเพิ่มขึ้น 3.5% ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่สูงสุดในรอบ 8 ปี โดยมีสาเหตุหลักจากการล็อกดาวน์ที่ทำให้ผู้บริโภคได้ใช้เวลาอยู่บ้านมากขึ้น รวมถึงโครงการเงินอุดหนุนจากภาครัฐบาลที่ทำให้เกิดพฤติกรรมการจับจ่ายเพิ่มขึ้น

 

การระบาดใหญ่ของโควิด-19 บังคับให้เกิดพฤติกรรมการจับจ่ายซื้อของรูปแบบใหม่ โดยเฉพาะการสั่งซื้อออนไลน์ ผ่านช่องทาง e-Commerce ที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยในส่วนของ ไอ.พี. วัน มีการเติบโตขึ้นของช่องทางอีคอมเมิร์ซมากขึ้นถึง 2 เท่า และคาดการณ์ว่ายอดขายในปี 2565 นี้จะเติบโตมียอดขายอยู่ที่ประมาณ 7,000 ล้านบาท

 

ฉลอง 50 ปี รุกตลาด FMCG ต่อเนื่องด้วยแนวคิด Innovate Passionately

เนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปี บริษัท ไอ.พี.วัน ยังคงตอกย้ำความมุ่งมั่นใส่ใจในการพัฒนาสินค้าและบริการ เพื่อสร้างความประทับใจและประสบการณ์ที่ดีต่อลูกค้า ควบคู่กับการคำนึงถึงความคุ้มค่าของทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ภายใต้แนวคิด “มุ่งมั่นสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่ออนาคตการใช้ชีวิตที่ดียิ่งขึ้น (Innovate Passionately For The Future of Better Living)”

 

พร้อมกันนี้ยังวางแผนเดินหน้ารุกตลาด FMCG อย่างต่อเนื่อง โดยการนำกลยุทธ์ Data-driven มาใช้เพื่อศึกษาอินไซต์ของผู้บริโภคเพื่อสร้างสรรค์เป็นนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ใหม่ให้ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดมากยิ่งขึ้น อาทิ ผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่มสูตรเข้มข้นพิเศษรุ่นล่าสุด ไฮยีน เอ็กซ์เพิร์ท แคร์ ดิลิเชียส ซีรีส์ ซึ่งเกิดจากการกล้าคิด กล้านำนวัตกรรมที่แตกต่าง ซึ่งเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่นำรสชาติของขนมฝรั่งเศสมาพัฒนาเป็นความหอมหวานที่สวมใส่ได้ ในด้านผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ก็มีการทำการตลาดอย่างต่อเนื่อง อาทิ เครื่องดื่มไอวี่ (Ivy) ที่ได้มีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ พร้อมปรับภาพลักษณ์ให้ทันสมัยตรงกับไลฟ์สไตล์ของคนยุคดิจิทัล เสริมทัพด้วย วิกซอล (Vixol) ที่นำเสนอผลิตภัณฑ์ และการทำการตลาดที่เข้าใจผู้บริโภคอย่างแท้จริง เป็นต้น

 

ส่วนในด้านช่องทางการจัดจำหน่าย จะมีการเร่งเดินหน้ารุกช่องทางอีคอมเมิร์ซให้เต็มรูปแบบมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งเตรียมแผนสำหรับขยายช่องทางการจัดจำหน่ายในตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านที่มีความชื่นชอบผลิตภัณฑ์จากประเทศไทยอยู่แล้ว

 

3 มิติขับเคลื่อนสู่องค์กรแห่งความยั่งยืน : ด้วยแนวคิด 3Ps

บริษัท ไอ.พี.วัน อยากเป็นบริษัทคนไทย ที่ทำของดี และมีแบรนด์สินค้าที่มีคุณภาพ ทำให้ต้องคิดในทุก ๆ มิติ ของการออกแบบสินค้า การผลิต ที่ไม่เพียงแต่มีนวัตกรรมและเข้าใจผู้บริโภคเท่านั้น แต่ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้บริโภคในระยะยาวควบคู่ไปกับการมีความรับผิดชอบต่อผลกระทบสิ่งแวดล้อม “Think from our Heart to Consumer's hands” กลั่นกรองจากหัวใจ ด้วยแนวคิด 3Ps

 

Product

29 ปีที่แล้ว ไอ.พี.วัน เป็นบริษัทแรกในไทย ที่เปลี่ยนวัตถุดิบที่ทำให้ผ้านุ่ม เป็นกลุ่มที่ย่อยสลายได้ด้วยจุลินทรีย์ธรรมชาติ (Biodegradable) ทำให้ผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่มเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เป็นบริษัทที่ริเริ่มลดการใช้พลาสติกในการทำบรรจุภัณฑ์ ปรับเปลี่ยนการใช้กล่อง ลูกฟูกเป็นเยื่อรีไซเคิล เพื่อลดการตัดต้นไม้

Process

ในปี 2560 ไอ.พี.วัน เป็นบริษัทแรกในนิคมอุตสาหกรรมบางปู ที่ติดตั้งแผง Solar roof เพื่อผลิตไฟฟ้าใช้เองในช่วงเวลากลางวัน จนถึงวันนี้ ได้ขยายการติดตั้ง ทั้งหมด 4 อาคาร บางปู 2 อาคาร สำนักงานใหญ่ไอ.พี. วัน และที่โรงงาน ไอ.พี. เนเชอรัล โปรดักต์ ไอ.พี.วัน นอกจากจะเป็นการผลิตกระแสไฟฟ้าใช้ได้เอง ยังช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ เป็นการสร้างการเปลี่ยนแปลงเพื่อคุณภาพการใช้ชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน

People

ไอ.พี.วัน ให้ความสำคัญกับพนักงาน คนไอ.พี.วัน มี DNA กล้าที่จะฝัน กล้าที่จะคิด กล้าที่จะนำการเปลี่ยนแปลง ไปสู่สิ่งที่ดีกว่า เริ่มจากเรื่องเล็กๆให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ขึ้นได้เสมอ มีเป้าหมายที่จะผลิตแต่สินค้าที่มีคุณภาพ ไม่สร้างของเสียจากการผลิต

 

นอกจากนี้ยังได้ดำเนินโครงการต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมการดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานความยั่งยืนมาโดยตลอด อาทิ โครงการ Hygiene Refill Station หรือตู้รีฟิลผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่มไฮยีน โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้บรรจุภัณฑ์ให้นำกลับมาใช้ได้ใหม่ ลดการใช้พลาสติกแบบใช้แล้วทิ้ง (Single Use)

 

รวมถึงการจัดตั้งแพลตฟอร์ม I.P. Life Lab (ไอ.พี. ไลฟ์ แล็บ) เพื่อให้ทุกคนได้ร่วม ‘เปลี่ยนเสียงบอกเป็นเสียงบวก’ แชร์ทุกปัญหาผ่านช่องทางออนไลน์ https://ip-one.com/iplifelab/ แพลตฟอร์มที่รวบรวมปัญหาของคนไทยที่เกิดขึ้นในสังคม และนำมาวิเคราะห์พัฒนาเป็นนวัตกรรมเพื่อโลกที่ดีกว่าเดิม ผ่าน 3 ขั้นตอน “ปัญหาจริง-คิดจริง-ทำจริง” จนเกิดเป็นแคมเปญ Waste to Wonderful ปลุกชีวิตขยะเหลือทิ้งเป็นของใช้ แปลงโฉมซองผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่มไฮยีน เป็นกระเป๋า Hygiene Upcycling Bag เปลี่ยนกล่องโยเกิร์ตพร้อมดื่ม Ivy เป็น Plant Pot กระถางต้นไม้อัจฉริยะเป็นต้น