"ลองฌองป์" ครึ่งปีแรกรีคัฟเวอร์ 80% เตรียมปั้นยอดออนไลน์เพิ่ม

11 ก.ค. 2565 | 05:03 น.

แบรนด์หรูยังทรงพลัง "ลองฌองป์" ครึ่งปีแรกรีคัฟเวอร์ 80% เตรียมรีโนเวทช้อปใหม่ทั้ง 6 สาขา-ชะลอเปิดร้านในหัวเมือง หันโฟกัส e-commerce เพิ่มสัดส่วนรายได้จากออนไลน์เชื่อมี potential ที่เติบโตขึ้นและไปได้อีกยาว

แม้ว่าแบรนด์หรูในปัจจุบันจะเป็นที่นิยมและได้รับการตอบรับที่ดี แต่ global brand ที่เป็น family owner ยังมีสัดส่วนที่น้อยมาก ซึ่ง "ลองฌองป์" เป็นหนึ่งในนั้น

"ลองฌองป์" ครึ่งปีแรกรีคัฟเวอร์  80% เตรียมปั้นยอดออนไลน์เพิ่ม

สำหรับลองฌองป์  ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1948 โดยฌอง กาสแกร็ง และปัจุบันผู้บริหารของลองฌองป์คือทายาทรุ่นที่ 2 และ 3 ของครอบครัวผู้ก่อตั้ง ฟิลิป กาสแกร็ง บุตรชายของผู้ก่อตั้งแบรนด์ ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการโดยมีลูกๆ ช่วยงานบริหาร ฌอง กาสแกร็ง นั่งเก้าอี้ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โซฟี เดอลาฟงแตง นั่งเก้าอี้ผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ และโอลิเวียร์ กาสแกร็ง (Olivier Cassegrain) ประจำการอยู่นิวยอร์กเพื่อบริหารงานร้านลองฌองป์ในสหรัฐอเมริกา

 

และมีการขยายไลน์สินค้าในหลายแคทตากอรี่ ทั้ง เครื่องประดับ กระเป๋าเดินทางสำหรับทั้งสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี เสื้อผ้า รองเท้า และแว่นตา สำหรับสุภาพสตรี จากเดิมที่มีเพียงกะเป๋า และจัดจำหน่ายไปกว่า 80 ประเทศทั่วโลก ผ่านจุดจัดจำหน่าย 1,500 แห่ง 

นายฌอง กาสแกร็ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ลองฌองป์ ฝรั่งเศส

นายฌอง กาสแกร็ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ลองฌองป์ ฝรั่งเศส อัพเดทธุรกิจ ลองฌองป์ ปัจุบันหลังจากผ่านช่วงวิกฤติโควิดตลอด 2 ปีที่ผ่านมาว่า   DNA ของแบรนด์ ลองฌองป์ คือ “ความอ่อนน้อมถ่อมตน” ลองฌองป์ เชื่อในผลิตภัณฑ์ของตัวเองและพยายามพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ดีอยู่เสมอ และเชื่อมโยงกับสิ่งรอบๆตัว เพราะโลกปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปอย่างเร็วมาก โลกมีความทันสมัยมาก เพราะฉะนั้นในทุกๆผลิตภัณฑ์จะต้องมีความเชื่อมโยงกับแรงบันดาลใจการใช้ชีวิต ผลงานศิลปะ เรื่องราวการดำเนินชีวิตในทุกๆวัน

 

 

ซึ่ง ลองฌองป์ ไม่หยุดที่จะเอาแรงบันดาลใจเหล่านี้มาใส่และพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ เมื่อผู้บริโภคเห็นว่าผลิตภัณฑ์มีความน่าสนใจ ก็จะได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค และรักในผลิตภัณฑ์ของลองฌองป์ เห็นได้จากการที่ผลิตภัณฑ์ของเราอยู่ในที่ต่างๆมากมาย 

 

“ตอนนี้แบรนด์ต่างๆมีการทำแคมเปญมากมายเราเองก็เช่นเดียวกัน เราต้องการที่จะเห็นผลิตภัณฑ์ของเราอยู่ในสื่อและการใช้ของผู้บริโภค แต่แบรนด์ของเรามีความแตกต่างคือเราต้องการให้ผู้บริโภคเลือกหยิบผลิตภัณฑ์ของเราไปใช้เพราะรักและมั่นใจในผลิตภัณฑ์ของเราจริงๆ”

“ซีอีโอ ลองฌองป์” ยืนยัน “พีพี กรุ๊ป” เป็นผู้จัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการในไทย

สำหรับประเทศไทย ลองฌองป์แต่งตั้งให้พีพี กรุ๊ป เป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้าลองฌองป์ในตลาดค้าปลีกแต่เพียงผู้เดียวมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2014 โดยพีพี กรุ๊ป สร้างผลงานการบริหารแบรนด์และยอดขายได้ดี ธุรกิจเติบโตมากกว่า 80% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ที่สำคัญ ลองฌองป์ ประเทศไทย ยังเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการที่เลือกขยายธุรกิจด้วยการจัดจำหน่ายทั้งทางหน้าร้าน ออนไลน์และแบบผสมผสาน (omni-Channel)

 

“ตลอดเวลา 8 ปีภายใต้การร่วมมือกับ พีพี กรุ๊ป เราเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นมากๆ นอกจากนี้ core value ของเราเองก็มีความสดใส มีวิสัยทัศน์ที่ดี มีการมองโลกในแง่ดี ซึ่งเข้ากับบุคลิกภาพของคนไทยเพราะคนไทยเปิดรับสิ่งใหม่ๆอยู่เสมอ ชอบความสนุกสนานและคนไทยชอบช้อปปิ้ง เพราะฉะนั้นการร่วมมือกับพีพีกรุ๊ป ก็จะสามารถขยายธุรกิจได้มากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมามีการเพิ่มร้านมากขึ้นมีแพลตฟอร์มต่างๆเพื่อที่จะให้เข้าถึงลูกค้ามากขึ้น”

 

อย่างไรก็ตามในช่วงโควิด ลองฌองป์ ได้รับผลกระทบเป็นอย่างยิ่งในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เพราะโควิดทำให้ทั้งโลกหยุดชะงัก ร้านทั้งหมดถูกปิด มีเพียงออนไลน์ที่ยังสามารถเปิดให้บริการ แต่ปัจุบันตัวเลขยอดขายของลองฌองป์ ก็กลับมาได้แล้วและตัวเลขสูงกว่าปี 2019 หรือก่อนที่จะมีโควิด   ซึ่งประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในประเทศที่สามารถทำยอดขายสูงที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  เพราะเป็นตลาดที่ผู้บริโภคมีความรักในแบรนด์ มีความเป็นRoyal customer มีการกลับมาซื้อซ้ำอยู่เสมอ เพราะประทับใจในตัวผลิตภัณฑ์และคุณภาพของผลิตภัณฑ์และแบรนด์และเพราะฉะนั้นตลาดนี้เป็นตลาดที่สำคัญมากๆอีกแห่งหนึ่ง

"ลองฌองป์" ครึ่งปีแรกรีคัฟเวอร์  80% เตรียมปั้นยอดออนไลน์เพิ่ม

อย่างไรก็ตามแม้ว่า โควิด จะคลี่คลายไปในทางที่ดี แต่สำหรับปัญหาสงครามและเงินเฟ้อปัจุบันมีผลกระทบต่อ ลองฌองป์  เช่นกันโดยเฉพาะปัญหา “เงินเฟ้อ” ที่กระทบในเรื่องของ rawmaterial ที่มีราคาสูงขึ้น ซึ่งผู้บริหารยอมรับว่า “อาจจะต้องมีการขึ้นราคาสูงขึ้น”  แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่คือบริษัทได้เรียนรู้กับสถานการณ์โควิดที่เกิดขึ้นก็คือทุกๆบริษัทไม่มีใครสามารถที่จะควบคุมสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์โควิด สงครามหรือว่าเงินเฟ้อ แต่สิ่งที่บริษัทควบคุมได้ก็คือการทำให้บริษัทมีความยืดหยุ่นสามารถที่จะปรับเปลี่ยนนโยบายได้ตลอดเวลาเพื่อที่จะประคองบริษัทให้สามารถอยู่รอดได้ในทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้น 

 

“สำหรับบริษัทเราค้นพบความภาคภูมิใจใหม่ว่าเราสามารถจัดการสิ่งที่คิดว่าเป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ในช่วงโควิด สำหรับเราการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในทุกส่วนงาน ก่อนหน้าที่จะมีโควิดเราเป็นผู้ผลิตขนาดใหญ่  มีตารางการสั่งของ ตารางการผลิต ตารางการดำเนินงานของเครื่องจักร แต่พอโควิดมาเราก็จะต้องหยุดการผลิตทันทีและติดต่อกับเครือข่ายและติดต่อกับแลนด์ลอร์ดในการเปลี่ยนแผน และพอประเทศเปิดทุกอย่างขายดีมากเราต้องกลับมาผลิตเพราะทุกๆขั้นตอนกระบวนการก็จะต้องมีการปรับเปลี่ยนเพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง”

 

ทั้งนี้ นอกเหนือจากโรงงานในฝรั่งเศสแล้ว ลองฌองป์ ยังมีโรงงานในประเทศอื่นอีก 2 แห่ง และมีโรงงานของพันธมิตรร่วมผลิตอีก 9 แห่ง และมีมีพนักงานทั่วโลกมากกว่า 3,200 คน และมีสัดส่วนยอดขายในฝรั่งเศส 30%, ยุโรป – ตะวันออกกลาง - แอฟริกา 29%, อเมริกา 13%, และ เอเชีย 28% 

 

“ในอนาคตสัดส่วนของการขายในเอเชียจะเพิ่มขึ้นแน่นอน โดยเฉพาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เราเห็นช่องทางในการเพิ่มร้านค้า เนื่องจากผู้บริโภคยังให้การตอบรับสินค้าของเราเยอะมาก แต่ช่องทางการจัดจำหน่ายของเรายังมีไม่เยอะ ในยุโรปการเติบโตของเราอาจจะช้าเพราะว่าเราเปิดช้อปไปหมดแล้ว แต่ในเอเชียเองเช่นในประเทศจีนเราเปิดสาขาใหม่ปีละ 5-6 สาขา เพราะฉะนั้นประเทศอื่นๆในแถบนี้แล้วก็ยังเห็นช่องทางการเติบโตของธุรกิจเช่นเดียวกัน”


นางสาวสุวดี พึ่งบุญพระ ประธานกรรมการ บริษัท พีพี ลุกซ์ จำกัด

ด้านนางสาวสุวดี พึ่งบุญพระ ประธานกรรมการ บริษัท พีพี ลุกซ์ จำกัด เปิดเผยว่า ลองฌองป์ถือเป็น แบรนด์หรู จึงมีกลุ่มเป้าหมายเป็นลูกค้าที่มีรายได้สูง โดยลูกค้ากลุ่มนี้มีเงินจับจ่ายใช้สอยออนไลน์ตลอดช่วงล็อคดาวน์ยาวนานกว่า 2 ปี ส่งผลให้ยอดขายออนไลน์รายเดือนโดยเฉลี่ยเติบโตแบบก้าวกระโดดถึง 120% ในช่วงที่ผ่านมา 

 

ทั้งนี้ ลองฌองป์ ประเทศไทย จัดจำหน่ายสินค้าผ่านร้านบูติก 6 แห่ง คือ เอ็มควอเทียร์, สยามพารากอน, ดิ ไอคอนสยาม, เซ็นทรัล ชิดลม, เซ็นทรัล บางนา และเซ็นทรัล ลาดพร้าว และช่องทางออนไลน์ได้แก่ เว็บไซต์  และ LINE Official Account ในปัจุบัน

 

“ตอนนี้ผลตอบรับค่อนข้างดี สำหรับครึ่งปีเป็นที่น่าพึงพอใจเราพลิกอัพ กลับมาได้ 80% จากปีที่แล้ว ตอนนี้สาขาในประเทศไทยเรามี 6 สาขาซึ่งเราคิดว่า 6 สาขาเป็นตัวเลขที่ดี แต่เราก็จะมีการปรับเปลี่ยน store มีการรีเฟรชช็อปน่าจะเป็นจุดประสงค์หลักของเรามากกว่าที่จะทำให้ standard และสินค้ามัน present ได้สวยงามและถูกต้องมากขึ้น

 

ก่อนหน้านี้เรามีแผนที่จะขยายไปยังหัวเมืองใหญ่ แต่ตอนนี้เรามี e-commerce ซึ่งผลตอบรับค่อนข้างดีจากผู้บริโภค เพราะฉะนั้นเราคิดว่าเราจะโฟกัสไปที่ e-commerce มากกว่า ตอนนี้ยอดขายจากช่องทาง e-commerce อยู่ที่ 20% และจะเพิ่มสัดส่วนช่องทางe-commerce อีกเพราะมีส่วนที่เติบโตชัดเจนในทุกๆปีและเราก็คิดว่ามันน่าจะมี potential ที่เติบโตขึ้นและไปได้อีกยาว”