ไหวไหม 2,141โรงแรมตีปีกรับTest & Go 1ก.พ.นี้ แต่ต้องแลกกับภาระที่เพิ่มขึ้น

31 ม.ค. 2565 | 07:59 น.

การกลับมาเปิดรับการเดินทางเข้าไทย Test & Go อีกครั้งในวันที่ 1 ก.พ.นี้ จะมี 2,141 โรงแรมได้อนิสงค์รับนักท่องเที่ยว แต่ต้องแลกกับภาระที่เพิ่มขึ้น

การกลับมาเปิดรับการเดินทางเข้าไทยในแบบ Test & Go อีกครั้งในวันที่ 1 ก.พ.นี้ จะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขใหม่ ที่เพิ่มเติมขึ้นมา เพื่อให้การท่องเที่ยวของไทยสามารถเดินต่อได้ควบคู่ไปกับการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยเฉพาะสายพันธ์ใหม่อย่าง “โอมิครอน”ที่เกิดขึ้น

 

โดยกระทรวงการต่างประเทศ(กต.)จะกลับมาเปิดระบบลงทะเบียน Thailand Pass สำหรับการเดินทางเข้าไทยในแบบ Test & Go อีกครั้งในวันที่ 1 กุมภาพันธ์2565 เวลา 09.00 น.(เวลาไทย)  ซึ่งจากเงื่อนไขใหม่ในการเปิดรับครั้งนี้ จะเห็นว่าต่อไปรูปแบบการเดินทางเข้าไทยจากนี้จะเป็น Test & Go เป็นหลัก

 

ไหวไหม 2,141โรงแรมตีปีกรับTest & Go 1ก.พ.นี้ แต่ต้องแลกกับภาระที่เพิ่มขึ้น

เนื่องจากมีการเปิดให้สามารถเดินทางเข้าไทยได้จากทุกประเทศทางอากาศแล้ว ต่างจากเงื่อนไขเดิมที่กำหนดไว้เฉพาะการเดินทางมาจาก 63 ประเทศ/พื้นที่ ทางอากาศเท่านั้น  อีกทั้งในเงื่อนไขใหม่ยังกำหนดให้คนเดินทางเข้าไทยจะต้องจองที่พักและชำระค่าตรวจเชื้อโควิดแบบ RT-PCR ในวันแรก และวันที่ 5 ของการเดินทางเข้าไทย แตกต่างเดิมที่ให้จองที่พักอย่างน้อย 1 คืน รวมค่าตรวจRT-PCR 1 ครั้ง

 

ดังนั้นผู้ประกอบการโรงแรม ก็จะได้รับได้รับอนิสงค์จากการมีวันพักที่เพิ่มขึ้น  จากเดิมขายได้ 1 วันก็จะเพิ่มเป็น 2 วัน โรงพยาบาลที่เป็นคู่สัญญากับโรงแรม ก็จะมีโอกาสในการทำธุรกิจที่เพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับไทยก็จะมีค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวที่จะเพิ่มขึ้นแตะระดับ 6 หมื่นบาทต่อคน ใกล้เคียงกับการใช้จ่ายในการเปิดรับนักท่องเที่ยวในรูปแบบแซนด์บ็อกซ์ และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)คาดว่าหลังการเปิดTest & Go ขึ้นอีกครั้ง จะมีการเดินทางเข้าไทยราว 2 แสนคนต่อเดือน

 

 

ไหวไหม 2,141โรงแรมตีปีกรับTest & Go 1ก.พ.นี้ แต่ต้องแลกกับภาระที่เพิ่มขึ้น

 

โรงแรมที่จะได้อนิสงค์จากการรับนักท่องเที่ยวแบบ Test & Go จะมีทั้งหมด 2,141 แห่ง ใน 38 จังหวัด ได้แก่ 

 

ภาคใต้ 1,082 แห่ง 

 

  • ภูเก็ต 565 แห่ง
  • กระบี่ 198 แห่ง
  • สุราษฎร์ธานี  173 แห่ง
  • พังงา 120 แห่ง
  • สงขลา 22 แห่ง
  • นครศรีธรรมราช 3 แห่ง
  • ชุมพร 1 แห่ง 

 

ภาคเหนือ  146 แห่ง 

 

  • เชียงใหม่ 122 แห่ง
  • เชียงราย 14 แห่ง
  • ลำพูน 5 แห่ง
  • ตาก 2 แห่ง
  • พิษณุโลก 1 แห่ง
  • สุโขทัย 1 แห่ง
  • เพชรบูรณ์ 1 แห่ง

 

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  40 แห่ง 

 

  • นครราชสีมา 23 แห่ง
  • บุรีรัมย์ 6 แห่ง
  • ขอนแก่น 2 แห่ง
  • หนองคาย 2 แห่ง 
  • ชัยภูมิ 1 แห่ง
  • สุรินทร์ 1 แห่ง
  • ศรีสะเกษ 1 แห่ง

 

ภาคตะวันออก  318 แห่ง 

 

  • ชลบุรี 177 แห่ง
  • ระยอง 39 แห่ง
  • จันทบุรี 13 แห่ง
  • ตราด 42 แห่ง
  • นครนายก 2 แห่ง
  • สระแก้ว 4 แห่ง
  • ปราจีนบุรี 4 แห่ง 
  • ฉะเชิงเทรา 2 แห่ง
  • สมุทรปราการ 35 แห่ง

 

ภาคกลาง 555 แห่ง  

 

  • กรุงเทพฯ 446 แห่ง
  • นครปฐม 3 แห่ง
  • นนทบุรี  9 แห่ง
  • ปทุมธานี 7 แห่ง
  • ประจวบคีรีขันธ์ 63 แห่ง
  • พระนครศรีอยุธยา 5 แห่ง
  • เพชรบุรี 21 แห่ง
  • กาญจนบุรี 1 แห่ง

 

เนื่องจากโรงแรมเหล่านี้ เป็นโรงแรมที่ได้มาตรฐาน SHA Extra Plus (SHA++) และผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ ทั้งคนไทยและชาวต่างชาติจะต้องเลือกเข้าพักในโรงแรมที่ได้รับมาตรฐานนี้ เพราะล้วนเป็นโรงแรมที่มีโรงพยาบาลเป็นคู่ปฏิบัติการ เพื่อดูแลนักท่องเที่ยวในการทำRT-PCR 

รวมถึงการรักษากรณีเกิดโควิด-19  ซึ่งในเงื่อนไขใหม่จะมีการระบุชัดเจนว่านักท่องเที่ยวต่างชาติต้องยอมรับว่าในกรณีการทำประกันวงเงินคุ้มครองไม่น้อยกว่า 5 หมื่นดอลลาร์สหรัฐ ในกรณีที่ประกันไม่คุ้มครองอาการป่วย หรือการเป็นผู้เสี่ยงสูง ผู้เดินทางต้อง รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการกักตัวภายใน Hospitel,Hotel Isolation, Home Isolation ซึ่งจะมีประกันทางเลือกให้นักท่องเที่ยวซื้อประกันเพิ่มเติมด้วย

 

ทั้งนี้หากนักท่องเที่ยวติดโควิดแพทย์จะเป็นผู้วินิจฉัยว่าจะต้องเข้ากักตัวหรือรับการรักษาที่โรงพยาบาลหรือสถานที่ใด แต่ด้วยความที่นักท่องเที่ยวฉีดวัคซีนมาแล้ว และการแพร่ระบาดของโอมิครอนมีอาการไม่รุนแรง  ก็ทำให้ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวจะเข้าพักใน Hospitel เป็นส่วนใหญ่ และล่าสุดมีเรื่องของ Hotel Isolation  ที่มีโรงพยาบาลในพื้นที่เป็นคู่สัญญา ซึ่งหากโรงแรมพบนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาพักแล้วติดโควิด ก็สามารถให้พักต่อที่โรงแรมได้ แต่ต้องอยู่แต่ในห้องพักและการดูแลรักษาผ่านระบบเทเลเมดิซีน โดยปัจจุบันก็มีแพ็คเกจขาย เช่น 10 วันเริ่มต้นที่ 2 หมื่นบาท เป็นต้น

 

อย่างไรก็ตามแม้โอกาสในการทำธุรกิจจะเพิ่มขึ้น แต่ก็ต้องแลกมากับการที่ต้องให้ความร่วมมือกับภาครัฐในกระบวนการหลังบ้านที่เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน เพื่อให้เกิดความรัดกุมในการรองรับนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น โดยภายใต้เงื่อนไขใหม่นักท่องเที่ยวที่ลงทะเบียน Thailand Pass  เข้ามาในแบบ Test & Go เมื่อนักท่องเที่ยวนักท่องเที่ยวแสดงหลักฐานการจองที่พักและชำระเงินผ่านระบบแล้ว ระบบจะมีการส่งข้อมูลของนักท่องเที่ยวให้โรงแรมในเวลา 18.00 น. ซึ่งโรงแรมจะมีเวลา 30 ชั่วโมง หรือ24.00 น.ในวันรุ่งขึ้น เพื่อกดอนุมัติรับรองเอกสารการจองของนักท่องเที่ยว

 

จากนั้นเมื่อโรงแรมกดอนุมัติแล้ว ทางภาครัฐจะดำเนินการในกระบวนการตรวจสอบเอกสารวัคซีน ถ้าหากผ่านนักท่องเที่ยวก็จะได้คิวอาร์โค้ดเพื่อใช้ยืนยันว่าได้รับการพิจารณาแล้วว่าให้เดินทางเข้ามาในไทย  แต่ถ้ามีการตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นเอกสารวัคซีนปลอม หรือเอกสารไม่ครบถ้วน ก็จะไม่ผ่านการอนุมัติและโรงแรมจะต้องคืนเงินให้แก่นักท่องเที่ยว

 

สำหรับนักท่องเที่ยวที่ได้รับคิวอาร์โค้ด เมื่อเดินทางเข้าไทยก็จะต้องผ่านการตรวจหาเชื้อ RT-PCR ในวันแรก หากไม่พบเชื้อก็เดินทางเที่ยวที่ไหนในไทยก็ได้ ซึ่งหากพักอยู่ในไทยไม่ถึง 5 วันก็สามารถเดินทางกลับประเทศได้เลย แต่ถ้าอยู่เกิน 5 วัน นักท่องเที่ยวจะต้องเข้าเช็คอินในโรงแรมที่จองไว้ในวันที่ 5 ของการเดินทางเพื่อตรวจหาเชื้อ RT-PCR ครั้งที่ 2  และนักท่องเที่ยวต้องพักอยู่ในห้องระหว่างการรอผลตรวจเชื้อ หากไม่พบติดเชื้อก็สามารถเดินทางไปที่ไหนในไทยก็ได้

 

แต่หากนักท่องเที่ยวไม่มาเช็คอินในคืนที่ 5 และโรงแรมตามแล้วไม่มา หรือติดต่อไม่ได้ โรงแรมจะต้องแจ้งแก่ตำรวจท่องเที่ยว หมายเลข 1155  ซึ่งจะมีการจับกุมเพื่อดำเนินคดีภายใต้มาตรการควบคุมโรคต่อไป ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าโรงแรมหนักใจ ที่ต้องมีภาระเพิ่มขึ้น ทั้งเรื่องการต้องเข้าไปกดรับรองเอกสารที่พักการจองของนักท่องเที่ยว และการต้องตามนักท่องเที่ยวเข้ามาพักโรงแรมในคืน 5 แต่ทางภาครัฐก็ยืนยันว่าต้องช่วยกัน เพราะไม่เช่นนั้นก็คงไม่สามารถเปิดรับนักท่องเที่ยวได้       

 

ขณะเดียวกันแม้ไทยจะกลับมาเปิดรับนักท่องเที่ยวแบบ Test & Go ได้ แต่ในแผนเผชิญเหตุก็สามารถกลับมาปิดใหม่ได้ หากหลังการเปิดไปแล้ว พบการติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นจนเกินจะควบคุม ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นการเปิดพื้นที่ในโครงการแซนด์บ็อกซ์ต่างๆที่ปัจุบันอนุมัติไว้แล้ว ได้แก่ จังหวัดภูเก็ต (Phuket Sandbox) สุราษฎร์ธานี  (เกาะสมุย เกาะพะงัน เกาะเต่า) พังงา (ทั้งจังหวัด) และกระบี่ (ทั้งจังหวัด) จ.ชลบุรี (อ.บางละมุง เมืองพัทยา อ.ศรีราชา อ.เกาะสีชัง อ.สัตหีบ เฉพาะตำบลนาจอมเทียน ตำบลบางเสร่) และ จ.ตราด (เกาะช้าง) ก็จะถูกดึงเข้ามาเปิดรับนักท่องเที่ยวแบบอัตโนมัติได้เลยนั่นเอง