เปิดเงื่อนไข46ประเทศเดินทางเข้าไทยไม่กักตัวมีผล1พ.ย.นี้รับเปิดประเทศ

22 ต.ค. 2564 | 02:57 น.

เปิดเงื่อนไขนักท่องเที่ยวจาก46ประเทศ/พื้นที่รวมคนไทยเดินทางเข้าไทยไม่ต้องกักตัวรับเปิดประเทศ มีผล1พฤศจิกายนนี้ เช็คแนวทางและขั้นตอนการขออนุญาตเข้าไทยทุกขั้นตอนได้ที่นี่

ล่าสุดกระทรวงการต่างประเทศ(ก.ต.)ได้ประกาศการกำหนดรายชื่อประเทศและพื้นที่ต้นทางที่อนุญาตให้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรสำหรับบุคคลประเภท (13)โดยหมายถึง"ผู้ซึ่งได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้ามา ในราชอาณาจักร เพื่อประโยชน์ด้านเศรษฐกิจควบคู่กับความมั่นคงด้านสาธารณสุขตามแผนการเปิดประเทศของรัฐบาล" ตามหลักเกณฑ์ของกระทรวงสาธารณสุข และการเสนอของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ซึ่งมีทั้งหมด46ประเทศ/พื้นที่ และพื้นที่ต้นทางเดินทางเข้าไทยไม่ต้องกักตัว มีผลตั้งแต่วันที่1 พฤศจิกายน2564

โดยมี 46 ประเทศ/พื้นที่ ที่ได้รับอนุญาตเดินทางเข้าไทยโดยไม่กักตัวเริ่มตั้งแต่วันที่1พฤศจิกายนนี้

 

1. ออสเตรเลีย

2. ออสเตรีย

3. บาห์เรน

4. เบลเยียม

5. ภูฎาน

6. บรูในดารุสชาลาม

7. บัลแกเรีย

8. กัมพูชา

9. แคนาดา

10. ชิลี

11. จีน

12.ไชปรัส

13.สาธารณรัฐเช็ก

14.เดนมาร์ก

15.เอสโตเนีย

16. ฟินแลนด์

17.ฝรั่งเศส

18. เยอรมนี

19. กรีช

20. ฮังการี

21.ไอซ์แลนด์

22. ไอร์แลนด์

23.อิสราเอล

24. อิตาลี

25.ญี่ปุ่น

26.ลัตเวีย

27.ลิทัวเนีย

28.มาเลเซีย

29.มอลตา

30. เนเธอร์แลนด์

31. นิวซีแลนด์

32. นอร์เวย์

33.โปแลนด์

34.โปรตุเกส

35. กาตาร์

36. ชาอุดีอาระเบีย

37. สิงคโปร์

38.สโลวีเนีย

39. สาธารณรัฐเกาหลี

40. สเปน

41สวีเดน

42 สวิตเซอร์แลนด์

43.สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

44. สหราชอาณาจักร

45.สหรัฐอเมริกา

46.พื้นที่ฮ่องกง

 

รายชื่อ46ประเทศ/พื้นที่ เดินทางเข้าไทยไม่ต้องกักตัวเริ่ม1พ.ย.นี้

 

ที่มา : กระทรวงการต่างประเทศ

 

เงื่อนไขนักท่องเที่ยวจาก46ประเทศเดินทางเข้าไทยไม่ต้องกักตัว 

 

1.เกณฑ์ในการเดินทางเข้าไทยรวมถึงเอกสารที่ต้องมีก่อนเดินทางเข้าไทย

 

  • นักท่องเที่ยวทั้งต่างชาติและชาวไทยที่เดินทางมาจาก46ประเทศที่กำหนด กรณีมาจากกลุ่มประเทศอื่น ให้พำนักในประเทศที่กำหนดอย่างน้อย 21 วันและเดินทางเข้าไทยโดยช่องทางทางอากาศเท่านั้น

 

  • มีเอกสารหรือหลักฐานรับรองการได้รับวัคซีน (Certificate of Vaccination) ครบตามเกณฑ์ที่ผู้ผลิตวัคซีนกำหนด ซึ่งเป็นวัคซีนที่ได้รับการขึ้นทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยยาหรือได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลกหรือตามเกณฑ์ที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด หรือกรณีเคยติดเชื้อ และได้รับวัคซีน 1 เข็มในช่วง 3 เดือนหลังติดเชื้อ (เป็นประเทศที่กระทรวงต่างประเทศตรวจสอบว่าใบรับรองการติดเชื้อแบบเป็นทางการ) เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 14 วันก่อนออกเดินทาง ยกเว้นผู้มีอายุต่ำกว่า 12 ปี ที่ไม่อยู่ในเกณฑ์การได้รับวัคซีน และเดินทางมาพร้อมกับผู้ปกครอง

 

  • มีใบรับรองแพทย์ที่ยืนยันว่าผู้เดินทางไม่พบเชื้อโรคโควิด - 19 โดยวิธี RT-PCR โดยมีระยะเวลาไม่เกิน 72 ชั่วโมงก่อนการเดินทางกรณีตรวจพบการติดเชื้อ ต้องมีใบรับรองแพทย์ที่ยืนยันว่าเคยติดเชื้อมาก่อนในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา

 

  • ทำประกันภัย วงเงินไม่น้อยกว่า 50,000ดอลล่าร์สหรัฐ เว้นแต่กรณีผู้เดินทางที่มีสัญชาติไทยและมีสิทธิ์ในการรักษาพยาบาลตามที่กฎหมายบัญญัติ ไม่ต้องมีกรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าว  

 

  • มีใบจองที่พักโรงแรมอย่างน้อย1คืน ซึ่งอาจเป็นสถานกักกันที่ที่ทางราชการกำหนด (AQ, OQ, AHQ) หรือ โรงแรมที่เป็น SHA+ ที่มีโรงพยาบาลคู่ปฏิบัติการสำหรับตรวจหาเชื้อ ในวันแรกที่มาถึง โดยรวมค่าใช้จ่ายในการตรวจหาเชื้อโรคโควิด-19 โดยวิธี RT-PCR 

 

  • นักท่องเที่ยวต้องยื่นเอกสารการเดินทางเข้าไทยผ่านwww.tp.consular.go.th ตรวจสอบข้อมูลการได้รับวัคซีนและหลักฐานการชำระค่าที่พัก รอยืนยันผลการอนุมัติพร้อมกับรับ THAILAND PASS QR CODE

 

2. เมื่อเดินทางมาถึงประเทศไทยและระหว่างอยู่ในไทย

 

  • เมื่อเดินทางมาถึงท่าอากาศยานในไทย นักท่องเที่ยวสแกน THAILAND PASS QR CODE  และคัดกรองอาการทางเดินหายใจและวัดไข้ผู้เดินทาง ณ ด่านควบคุมโรค และผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมือง

 

  • โหลดแอปพลิเคชั่นหมอชนะ (ภาษาอังกฤษ) "MorChana" เพื่อใช้ติดตามตัวนักท่องเที่ยว โดยให้เปิดระบบติตตามดังกล่าวไว้ตลอดเวลา

 

  • เดินทางโดยรถที่จัดไว้โดยมีการกำกับการเดินทางโดยต้องไม่มีการแวะหรือหยุดพัก ณ สถานที่ใด ๆ (Sealed Route! ภายในระยะเวลา 2 ชั่วโมง เพื่อเข้าพักตามโรงแรม ซึ่งมีเป็นรพ.คู่ปฏิบัติการทำการตรวจหาเชื้อโรคโควิด - 19 ซึ่งนักท่องเที่ยวจองไว้ล่วงหน้าแล้วอย่างน้อย1คืน ถ้าการเดินทางไปยังจังหวัดหรือพื้นที่ที่ใช้เวลาเดินทางทางรถจากสนามบินเกิน2ชั่วโมง นักท่องเที่ยวต้องพักรร.ในกรุงเทพก่อน1คืน เช่น การเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิไปหัวหิน

 

  • เมื่อมาถึงโรงแรมดำเนินการตรวจหาเชื้อโรคโควิด - 19 โดยวิธี RT-PCR โดยในระหว่างที่รอผลการตรวจหาเชื้อโรคโควิด - 19 ห้ามผู้เดินทางเดินทางออกนอกโรงแรมหรือสถานที่พัก หรือสถานที่กักกันซึ่งทางราชการกำหนด  

 

  • หลังการเข้าพักโรงแรมในคืนแรก เมื่อผลการตรวจหาเชื้อ ไม่พบเชื้อ สามารถเดินทางไปไหนในไทยได้ ตามความต้องการ จะพักในโรงแรมต่อ หรือกลับไปพักที่บ้าน(กรณีมีที่พำนักในไทย)หรือจะเดินทางต่อไปเที่ยวจังหวัดใดในไทยก็ได้ โดยนักท่องเที่ยวจะได้รับชุดตรวจATK จำนวน 1ชุดให้ไปตรวจหาเชื้อด้วยตัวเองในวันที่6-7 โดยจะมีข้อความเตือนผ่ายทางแอปพลิเคชั่นหมอชนะ

 

เปิดเงื่อนไข46ประเทศเดินทางเข้าไทยไม่กักตัวมีผล1พ.ย.นี้รับเปิดประเทศ

 

ที่มา : ฐานเศรษฐกิจรวบรวมจากข้อมูลของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.),สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย(กพท.)และแนวปฏิบัติตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (ฉบับที่ 17) และมาตรการป้องกันโรคสำหรับผู้ที่เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร

 

ด้านนายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึง แนวทางการรับนักเดินทางแบบไม่กักตัวและไม่จำกัดพื้นที่ สำหรับนักท่องเที่ยวจากกลุ่มประเทศเสี่ยงต่ำและประเทศที่มีผลต่อเศรษฐกิจสูงตามแนบท้ายคำสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่ประกาศ ในราชกิจจานุเบกษา ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2564 มีเงื่อนไขหลักๆ ใน 6 ขั้นตอน ได้แก่

 

1. นักท่องเที่ยวทั้งชาวต่างชาติและคนไทยที่เดินทางมาจากประเทศที่กำหนดทางอากาศ กรณีมาจากกลุ่มประเทศอื่น ให้พำนักในประเทศที่กำหนดอย่างน้อย 21 วัน

 

2. มีเอกสารหรือหลักฐานรับรองการได้รับวัคซีน (Certificate of Vaccination) ครบตามเกณฑ์ที่ผู้ผลิตวัคซีนกำหนด ซึ่งเป็นวัคซีนที่ได้รับการขึ้นทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยยาหรือได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลกหรือตามเกณฑ์ที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด หรือ กรณีเคยติดเชื้อ และได้รับวัคซีน 1 เข็มในช่วง 3 เดือนหลังติดเชื้อ (เป็นประเทศที่กระทรวงต่างประเทศตรวจสอบว่าใบรับรองการติดเชื้อแบบเป็นทางการ) เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 14 วันก่อนออกเดินทาง ยกเว้นผู้มีอายุต่ำกว่า 12 ปี ที่ไม่อยู่ในเกณฑ์การได้รับวัคซีน และเดินทางมาพร้อมกับผู้ปกครอง

 

3. มีใบรับรองแพทย์ที่ยืนยันว่าผู้เดินทางไม่พบเชื้อโรคโควิด - 19 โดยวิธี RT-PCR โดยมีระยะเวลาไม่เกิน 72 ชั่วโมงก่อนการเดินทางกรณีตรวจพบการติดเชื้อ ต้องมีใบรับรองแพทย์ที่ยืนยันว่าเคยติดเชื้อมาก่อนในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา และทำประกันสุขภาพ อย่างน้อย 50,000 ดอลล่าร์สหรัฐ

 

4. มีใบจองที่พักโรงแรม อาจเป็นสถานกักกันที่ที่ทางราชการกำหนด (AQ, OQ, AHQ) หรือ โรงแรมที่เป็น SHA+ ที่มีโรงพยาบาลคู่ปฏิบัติการสำหรับตรวจหาเชื้อ ในวันแรกที่มาถึง โดยรวมค่าใช้จ่ายในการตรวจหาเชื้อโรคโควิด - 19 โดยวิธี RT-PCR 5. เมื่อเดินทางมาถึงท่าอากาศยาน โหลดแอปพลิเคชั่นหมอชนะ (ภาษาอังกฤษ) เดินทางโดยรถที่จัดไว้โดยมีการกำกับการเดินทาง เพื่อเข้าพักตามโรงแรมที่จองไว้ รพ.คู่ปฏิบัติการทำการตรวจหาเชื้อโรคโควิด - 19 โดยวิธี RT-PCR ในวันที่ 0-1 โดยผู้เดินทางรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเองและต้อง อยู่ในโรงแรม จนได้รับผลการตรวจอย่างเป็นทางการ

 

6. เมื่อผลการตรวจหาเชื้อ ไม่พบเชื้อ สามารถเดินทางได้ ตามความต้องการ และจะพักในโรงแรมที่จองและจ่ายเงินไว้แล้วล่วงหน้า หรือกลับไปพักที่บ้าน(กรณีมีที่พำนักในไทย)ก็ได้ โดยโรงแรมจะแนะนำให้สังเกตอาการอย่างน้อย 7 วัน หากมีอาการ ให้เข้ารับการตรวจหาเชื้อจากโรงพยาบาลใกล้ที่พัก หรือ ตรวจ ATK ที่โรงแรม หากพบเชื้อรายงานเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อในพื้นที่

 

นายธนกรฯ ยังได้กล่าวถึง สนามบินที่ปัจจุบันมีการบินระหว่างประเทศอยู่แล้ว ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต ท่าอากาศยานนานาชาติสมุย ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา (มีเที่ยวบิน Charter เท่านั้น) และท่าอากาศยานบุรีรัมย์ (มีเที่ยวบิน Charter เท่านั้น)

 

ส่วนสนามบินที่แจ้งความพร้อมแล้ว แต่ยังไม่มีเที่ยวบินระหว่างประเทศ ได้แก่ ท่าอากาศยานนานาชาติเชียงใหม่ ท่าอากาศยานนานาชาติกระบี่ และท่าอากาศยานนานาชาติอุดรธานี ซึ่งจะยืนยันในวันที่ 27 ต.ค. นี้

 

ทั้งนี้ ททท. ได้ประมาณการแผนการเปิดประเทศของรัฐบาลในวันที่ 1 พ.ย. 2564 แบบไม่ต้องกักตัว จะทำให้เศรษฐกิจและการท่องเที่ยวกลับมาฟี้นตัว โดยในไตรมาสที่ 4/2564 และ ไตรมาสที่ 1/2565 ซึ่งเป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว (ไฮซีซั่น) ไทยจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติไม่ต่ำกว่า 1 ล้านคน ภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยจะเติบโตในรูปแบบตัววี (V) และปีหน้าจะมีรายได้ประมาณ 50% ของปี 62 ที่มีรายได้ 2 ล้านล้านบาท และมีรายได้เพิ่ม 80% ของปี 62 ในปี 66

 

 

นายธนกรฯ ย้ำ ขอให้ทุกภาคส่วนปฏิบัติตามมาตรการควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างเข้มงวด เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการดูแลความมั่นคงด้านสาธารณสุขตามแผนการเปิดประเทศของรัฐบาล