การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปสู่วิถีนิว นอร์มอล โดยเฉพาะการใช้บริการสั่งซื้อสินค้าและบริการผ่านช่องทางออนไลน์ ส่งผลให้หลายธุรกิจมีการเติบโตรวมถึงธุรกิจ E-Grocery ที่พบว่ามีการเติบโตสูงสุดในรอบ 6 ปีที่ผ่านมา
โดย HappyFresh ซูเปอร์มาร์เก็ตออนไลน์ ให้บริการซื้อและส่งของสดของใช้ออนไลน์ในอาเซียน มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด จากความต้องการของหลายพันครัวเรือนที่หันมาเลือกใช้บริการ HappyFresh ในการซื้อสินค้าของสดของใช้ อย่างสะดวกและปลอดภัย
นายเดวิด ลิม กรรมการผู้จัดการ HappyFresh ประจำประเทศไทย เปิดเผยว่า ในไตรมาส 3 นี้ บริษัทเตรียมขยายพื้นที่ให้บริการให้ครอบคลุมทั่วทั้งกรุงเทพฯ เพื่อตอบรับความต้องการของครัวเรือน และสร้างความเชื่อมั่นว่าทุกครอบครัวจะสามารถเข้าถึง บริการสั่งซื้อและรับสินค้าที่บ้านได้อย่างปลอดภัย
อีกทั้งยังมีแผนขยายพื้นที่ให้บริการ HappyFresh ไปยังจังหวัดอื่นๆ ของประเทศไทย เพราะเชื่อว่า HappyFresh เป็นส่วนสำคัญในการช่วยเหลือ ให้ทุกครอบครัว สามารถเข้าถึงสินค้าอุปโภคบริโภคในช่วงเวลาที่ยากลำบากเช่นนี้
ทั้งนี้ HappyFresh มุ่งพัฒนาบริการอย่างต่อเนื่อง เพื่ออำนวยความสะดวกสบายแก่ลูกค้า และรักษามาตรฐาน ความปลอดภัยของทุกการสั่งซื้อแม้ในช่วงวิกฤติการณ์ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มช่องทางการชำระเงินผ่าน QR code พร้อมเพย์ หรือการขยายความร่วมมือไปยังพันธมิตรใหม่ๆ เพื่อเพิ่มความหลากหลาย ของสินค้าให้ครอบคลุมกับความต้องการของคนไทย
“HappyFresh ยังคงพัฒนาประสบการณ์การให้บริการอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบ การใช้งานบนแพลตฟอร์ม และการเพิ่มจำนวนสินค้าให้มีความหลากหลาย ทั้งนี้เพื่อให้บริการ HappyFresh สามารถเข้าถึงและตอบโจทย์ทุกครัวเรือนมากยิ่งขึ้น”
ล่าสุด HappyFresh ยังได้เปิดระดมทุนรอบ Serie D และมีผู้ลงทุนรายใหญ่ นำโดย Naver Financial Corporation, Gafina B.V STIC, LB และ Mirae Asset จากประเทศอินโดนีเซีย และกลุ่มทุนจากสิงคโปร์ อย่าง Mirae Asset-Naver Asia Growth Fund และ Z Venture Capital เข้าร่วมสมทบทุนเพิ่ม
ใน Serie D มูลค่าราว 65 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือกว่า 2,000 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ แสดงให้เห็นว่านักลงทุนเล็งเห็นความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของธุรกิจ E-Grocery
นายเกียม ซาการ์ร่า ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร HappyFresh กล่าวว่า ท่ามกลางวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจ HappyFresh ยังคงแสดงศักยภาพเติบโตอย่างยั่งยืน โดยมียอดการใช้งานแอปพลิเคชันและเว็บไซต์จาก 3 ประเทศในปี 2564 ที่เติบโตขึ้นกว่า 20 เท่า
รวมถึงยอดขายที่เติบโตอย่างต่อเนื่องทั้งจากลูกค้าใหม่ และลูกค้าเดิม เป็นการสร้างความเชื่อมันให้นักลงทุน และตอกย้ำถึงการเติบโตของตลาดและโอกาสในธุรกิจสินค้าประเภทของสด ของใช้ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้เป็นอย่างดี
“พฤติกรรมของผู้บริโภคได้เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น พฤติกรรมการจับจ่าย ความถี่ในการสั่งซื้อสินค้า และยอดซื้อสินค้าในแต่ละการสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ การสั่งซื้อสินค้าส่วนใหญ่ยังมาจากการชำระเงินผ่านช่องทางออนไลน์ โดย HappyFresh ยังคงพัฒนาแและขยายรูปแบบการชำระเงินเพื่อตอบรับกับวิถีชีวิตใหม่ให้มากขึ้น”
อีกทั้งทิศทางธุรกิจออนไลน์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้เข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญ อันเนื่องมาจากพฤติกรรมของผู้บริโภคใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นจากวิกฤตการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เพื่อปรับรับสถานการณ์โรคระบาด ประกอบกับมูลค่าตลาดค้าปลีก 3.5 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือกว่า 1.15 ล้านล้านบาท ปัจจัยเหล่านี้ล้วนตอกย้ำโอกาสทางธุรกิจของ HappyFresh ที่มีมูลค่ามหาศาล
นอกจากนั้น ตลาด E-Grocery ในเอเชียยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลจากพฤติกรรม ของกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่มีรายได้ และกำลังซื้อสูง อย่างไรก็ตามในปีที่ผ่านมาผู้บริโภคกลุ่มอื่นๆ ก็มีการปรับตัว และมีความเข้าใจในการซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด รวมทั้งบนเว็บไซต์ และแอปพลิเคชันของ HappyFresh ด้วย
ด้านแผนการลงทุน HappyFresh ยังคงมุ่งมั่นที่จะขยายตลาดไปยังพื้นที่ ที่มีศักยภาพอื่นๆ หวังให้ครอบคลุมพื้นที่บริการทั้งหมด โดยยังคงยึดถือคุณภาพ และมาตรฐาน ความปลอดภัยสูงสุดเป็นสำคัญ ซึ่งที่ผ่านมาพนักงาน Personal Shopper และพนักงานขนส่งสินค้า ถือเป็นฟันเฟืองที่สำคัญขององค์กร
การลงทุนในรอบ Serie D นับเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางในบทใหม่ขององค์กร บริษัทพร้อมและตื่นเต้นไปกับการเดินทางครั้งนี้ ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา HappyFresh ได้ขยายตำแหน่งงานมากขึ้นกว่านับพันตำแหน่ง เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของตลาดที่เพิ่มมากขึ้น