ซิกนิฟาย ส่ง หลอดไฟยูวีซี ยับยั้งเชื้อโควิด ทุบตลาด

27 พ.ค. 2564 | 10:08 น.

ซิกนิฟาย หรือ ฟิลิปส์ ไลท์ติ้ง ขนทัพผลิตภัณฑ์นวัตกรรมอุปกรณ์แสงสว่างระบบไฟยูวีซี (UV-C) ยับยั้งเชื้อไวรัสและสมาร์ทโฮม บุกตลาดเมืองไทย

นายจาร์กันนาธาน ศรีนิวาสัน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซิกนิฟาย คอมเมอร์เชียล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ซิกนิฟาย ประเทศไทย มุ่งเน้นในการนำเสนอมาตรฐานทั้งคุณภาพ ความปลอดภัย และความล้ำหน้าของนวัตกรรมแสงสว่างชั้นนำของโลก 

ในปี 2563 ซิกนิฟายมียอดขายทั่วโลกประมาณ 6,500 ล้านยูโร (7,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ลดลงจากปีก่อน 12.7% เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั่วโลก ส่งผลให้จำหน่ายหลอดไฟแอลอีดี และโคมไฟได้ 2,900 ล้านชิ้น โดยมียอดขายหลอดไฟแอลอีดี คิดเป็น 80% ของยอดขายทั้งหมด ปัจจุบันมีพนักงาน 38,000 คน ใน 74 ประเทศทั่วโลก 

จากเทรนด์ของโลกซึ่งมีผลกระทบด้านความยั่งยืน พบว่า พลังงานที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ 60% เป็นสาเหตุของการเกิดก๊าซเรือนกระจก มีเพียง 19 เมืองเท่านั้นที่ตั้งเป้าใช้พลังงานคาร์บอนเป็นศูนย์ นอกจากนี้จะพบว่า มีเพียง 9% เท่านั้นมีการใช้เศรษฐกิจหมุนเวียน หรือประมาณ 200 บริษัทใหญ่ๆ ทั่วโลก ซึ่งซิกนิฟายก็เป็นหนึ่งในนั้น 

นอกจากนี้ในปี 2018 พบว่า มีถึง 25% ของโลกที่ประสบกับปัญหาความไม่มั่นคงทางด้านอาหาร ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าจะมีความต้องการอาหารเพิ่มขึ้น 70% ในปี 2035 หรือหากมองในด้านสุขภาพ ในปี 2050 ประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป จะมีสูงถึง 22% ของประชากรโลกทั้งหมด ซึ่ง 2 ปีที่ผ่านมามีการใช้จ่ายด้านสุขภาพสูงถึง 4.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

 

ส่งผลให้ยอดการผลิตแสงสว่างเพื่อสุขภาพสูงขึ้นถึง16%  และในด้านความปลอดภัย มีแนวโน้มว่าในปี 2050 จะมีประชากรอาศัยในเมืองสูงถึง 70%  โดยมีคาดการณ์ว่าภายในปี 2030 จะมีประมาณ 60 ประเทศที่ถนนกว่าครึ่งหนึ่งในประเทศมีความไม่ปลอดภัย การเพิ่มแสงสว่างมีผลต่อทัศนวิสัย และช่วยลดอุบัติเหตุได้ 

ด้วยแนวโน้มของโลกดังกล่าว ซิกนิฟายจึงกำหนดพันธกิจ “เพื่อชีวิตที่สดใสและโลกที่น่าอยู่กว่าเดิม” (Brighter lives, Better world) เพื่อขับเคลื่อนสังคมโลกไปสู่ความยั่งยืน โดยโฟกัสที่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ ( United Nations Sustainable Development Goals, UN SDGs) 5 เป้าหมาย ซึ่งในปี 2021 ได้ตั้งเป้าผลการดำเนินงานที่สอดคล้องกับ SDGs เพื่อให้เกิดความยั่งยืนที่แท้จริงควบคู่กับกลยุทธ์นวัตกรรมเป็นศูนย์กลาง ซึ่งประกอบด้วย

  • เป้าหมายการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (Climate action) โดยมุ่งเน้นสินค้ากลุ่มแอลอีดี 2 พันล้านชิ้น และโซลาร์เซลล์ที่ช่วยลดการใช้พลังงานไฟฟ้า 
  • เป้าหมายหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ตั้งเป้าหยุดการใช้พลาสติก เลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตลอดจนการนำพลาสติกใช้แล้วกลับมาผลิตใหม่เป็นโคมไฟด้วยเทคโนโลยีการพิมพ์แบบสามมิติ 
  • เป้าหมายด้านการเข้าถึงอาหาร (Food availability) พัฒนาผลิตภัณฑ์แสงสว่างที่ช่วยเพิ่มคุณภาพผลผลิต ลดการสูญเสียในกระบวนการผลิต สำหรับเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์และการเพาะปลูกพืชผัก โดยมุ่งเน้นเทคโนโลยีเพื่อการทำฟาร์มแนวตั้ง และการเพาะเลี้ยงสัตว์ 
  • เป้าหมายด้านความปลอดภัย (Safety & Security) เพิ่มความปลอดภัยให้เมืองใหญ่ด้วยระบบแสงส่องสว่างอัจฉริยะตามท้องถนน นอกจากนี้ซิกนิฟายยังเป็นผู้นำเทคโนโลยีไลไฟ (Lifi) ที่มีความเสถียรและปลอดภัย  
  • เป้าหมายด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี (Health & Wealth being) ซึ่งมีทั้งการพัฒนาผลิตภัณฑ์กลุ่มยูวีซี เพื่อตอบสนองความต้องการคนทั่วโลกจากการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตลอดจนฟิลิปส์ ฮิว และฟิลิปส์ วิช ระบบไฟสำหรับสมาร์ทโฮมเพื่อตอบรับการใช้ชัวิตที่สะดวกสบายในบ้านมากกว่าที่เคย และผลิตภัณฑ์หลอดไฟถนอมสายตา

และในสถานการณ์ การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ผู้บริโภคหันมาใส่ใจสุขภาพและความปลอดภัย รวมถึงมีความต้องการ มุมมองต่อสังคมโลก และสิ่งแวดล้อมในทางที่ดีมากขึ้น ซิกนิฟายในประเทศไทยจึงวางแนวทางการดำเนินงานที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลาย

 

โดยไฮไลต์ในปีนี้ แบ่งเป็น 5 กลุ่มหลักๆโดยเน้นไปที่กลุ่มสุขภาพ ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มยูวีซี ที่ทั่วโลกให้ความสำคัญเพราะช่วยลดผลกระทบที่เกิดจากการระบาดของโควิด-19 รวมทั้งช่วยยับยั้งเชื้อโรค แบคทีเรีย และเชื้อไวรัส ได้ 99% ซึ่งเป็นเจ้าแรกในประเทศไทยที่ผ่านการรับรองจาก สคบ. 

ขณะเดียวกันก็ยังคงเน้นนวัตกรรมในกลุ่มสมาร์ทโฮม รับเทรนด์ที่อยู่อาศัยอัจฉริยะ ตอบโจทย์การทำงานที่บ้าน ได้แก่ ฟิลิปส์ ฮิว (Philips Hue), ฟิลิปส์ วิซ (Philips WiZ) และหลอดไฟฟิลิปส์ถนอมสายตา (Philips Eye Comfort LED Bulb) 

รวมถึงกลุ่มเทคโนโลยีล้ำอนาคตในยุค IoT ทั้ง แบรนด์ ทรูไลไฟ (Trulifi) ในการสื่อสารผ่านแสง และแบรนด์อินเตอร์แอค (Interact) ซึ่งเป็นระบบ IoT cloud based ที่นำแอลอีดีกับเทคโนโลยีสารสนเทศรวมเข้าด้วยกันซึ่งมีศักยภาพระดับเมือง ออฟฟิศ โรงงานอุตสาหกรรม

นอกจากนี้ยังมีอีก 2 กลุ่มหลัก คือ เทคโนโลยีแสงสว่างสำหรับเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่และสุกร แบรนด์วันซ์ (Once) และการเพาะปลูกพืชผักผลไม้ แบรนด์ฟิลิปส์ และสุดท้าย กลุ่มพลังงานและความยั่งยืน สินค้าฟิลิปส์โซลาร์เซลล์ (Philips Solar Cell) โคมไฟพลังงานจากแสงอาทิตย์ และโคมไฟแบบ 3D printing ที่นำพลาสติกใช้แล้วมาสร้างโคมไฟใหม่เพื่อการรักษ์โลกไม่ก่อให้เกิดปัญหาขยะพลาสติกอีกต่อไป 

แบรนด์เหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งภายใต้ซิกนิฟายที่ต้องเป็นมากกว่าแบรนด์ที่ให้แสงสว่าง และพร้อมตีตลาดเข้าไปอยู่ในใจคนไทย มั่นใจได้ว่าแบรนด์ต่าง ๆ ภายใต้การกำกับดูแลของซิกนิฟายจะสร้างความประทับใจและประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับผู้ใช้งานได้อย่างแน่นอน

“ในมุมของบริษัทเราคาดหวังตัวเลขเติบโตปี2564ประมาณ 3-5% เพราะซิกนิฟายไม่ได้แตกต่างจากบริษัทอื่นที่ต้องเจอกับวิกฤตโควิด 19 ซึ่งเป็นปัญหากับทุกที่ แต่เราไม่ได้มองว่าเป็นความท้าทาย เรามองว่าเป็นโอกาสมากกว่า เช่นตอนนี้คนไทยยังใช้หลอดไฟ LED green น้อยมาก ถ้าเราสามารถทำให้คนไทยหันมาใช้หลอดไฟ LED พลังงานสะอาดได้มากเท่าไหร่ ก็จะเป็นโอกาสของทางบริษัทเช่นเดียวกัน

นอกจากนี้คนไทยยังเป็นผู้บริโภคที่กระหายเทคโนโลยีและ ใช้smartphone จำนวนมากเตรงนี้เป็นโอกาสที่เราจะหาวิธีการเชื่อมต่อระหว่างระบบการให้แสงสว่างกับ internet of things ให้ได้ ซึ่งนี่คือความท้าทายของก็จะเป็นแรงผลักดันของซิกนิฟาย ในตลาดเมืองไทย”

ข่าวที่เกี่ยวข้อง