ไทม์ไลน์เปิดประเทศ รับต่างชาติ ปั๊มท่องเที่ยว 1.2 ล้านล้าน 

28 มี.ค. 2564 | 19:25 น.

ล่าสุดหลังจากไทยและหลายประเทศทยอยฉีดวัคซีนโควิด-19 เพิ่มขึ้น ก็ทำให้อย่างน้อยการท่องเที่ยวของไทย ก็เริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ เมื่อรัฐบาลส่งสัญญาณการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่จะทยอยเริ่มต้นในเดือนเมษายนนี้

โดยรัฐบาลมีนโยบายเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติในรูปแบบ “Area quarantine” ที่จะอนุญาตให้นักท่องเที่ยวที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบทั้ง 2 โดส สามารถเดินทางเข้าประเทศได้ แต่ต้องเข้ารับการกักตัวภายในโรงแรมที่พักเป็นเวลา  7 วัน ขณะที่นักท่องเที่ยวที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน จะต้องกักตัวเป็นเวลา 10 วัน ส่วนบุคคลที่เดินทางมาจากประเทศแถบแอฟริกา ต้องกักตัวเป็น 14 วัน

โดย ศบค.ชุดใหญ่, กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา มีความเห็นพ้องร่วมกันว่า จะเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาจากประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำ และเสี่ยงกลางประมาณ 120 ประเทศเท่านั้น

Area Quarantine ลดวันกักตัวเม.ย.นี้

การลดจำนวนวันกักตัวลงจากเดิม 14 วัน ทำให้นักท่องเที่ยวไม่จำเป็นต้องกักตัวอยู่แต่ในห้องพักเท่านั้น  แต่สามารถใช้ชีวิตในโรงแรมได้ โดยมีการควบคุมกิจกรรมต่างๆก็จะช่วยผ่อนคลายให้นักท่องเที่ยวได้ระดับหนึ่ง โดยในขณะนี้มีโรงแรมแสดงความสนใจเข้าร่วมโครงการ Area Quarantine แล้วกว่า 2,752 ห้อง

Area Quarantine จึงเป็นสเต็ปแรกของไทยในการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพื่อนำไปสู่การผลักดันการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยไม่ต้องกักตัว หรือ ที่เรียกว่าแซนด์บ็อกซ์ Sandbox คือจะเป็นการเจรจาระหว่างไทยกับประเทศต่างๆ ในลักษณะเมืองต่อเมือง จังหวัดต่อจังหวัด หรือเกาะต่อเกาะ เพื่อทำ Travel bubble ระหว่างกัน เพื่อดึงนักท่องเที่ยวที่ฉีดวัคซีนโควิด-19 แล้วเข้าไทย แต่จะใช้มาตรการป้องกันควบคู่กัน เช่น วัคซีน Certificate- ระบบติดตามตัว

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ไทยเพิ่งประกาศเงื่อนไขและไทม์ไลน์การเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ในแบบ Area Quarantine ซึ่งระยะที่ 1 คาดว่าจะมีต่างชาติทยอยเข้ามาในช่วงกลางเดือนเมษายนนี้ ที่จะนำร่อง 6 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ ภูเก็ต กระบี่ พังงา สุราษฏร์ธานี(เกาะเต่า เกาะสมุย เกาะพะงัน) และชลบุรี (พัทยา) ที่จะลดจำนวนวันกักตัวลง 

“ภูเก็ต-พัทยา” นำร่องไม่กักตัว

ส่วนโมเดล Sandbox ที่รัฐบาลตั้งเป้าหมายไว้ว่าตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 นักท่องเที่ยวที่ได้รับการฉีดวัคซีนแล้วสามารถเดินทางเข้าไทยโดยไม่ต้องกักตัว แต่ในขณะนี้ทางกระทรวงท่องเที่ยวก็จะผลักดันให้เกิดขึ้นใน 5 จังหวัดนำร่องเช่นกัน เช่น เชียงใหม่, ชลบุรี (พัทยา), ภูเก็ต, กระบี่ และ สมุย 

เงื่อนไขที่สำคัญในการทำแซนด์บ๊อกซ์  ได้คือ คนในพื้นที่จะต้องได้รับการฉีดวัคซีนต้านไวรัสอย่างน้อย 70% ขึ้นไป รวมถึงกำหนดให้ต่างชาติที่จะเข้ามาต้องอยู่ในพื้นที่แซนด์บ๊อกซ์เท่านั้น ไม่สามารถออกนอกพื้นที่ได้ ทำให้ต้องศึกษาวิธีการป้องกันไม่ให้ต่างชาติเดินทางออกนอกพื้นที่ที่กำหนดก่อน ซึ่งตนมองว่าพื้นที่จะเหมาะจะทำ Sandbox ได้ก่อนวันที่ 1 ตุลาคมนี้ คือจังหวัดภูเก็ต และพัทยา 

เพราะมีความพร้อมของสายการบิน หากมีการเช่าเหมาลำจากต่างประเทศ ก็สามารถลงสนามบินภูเก็ต หรือ สนามบินอู่ตะเภาได้ ซึ่งเรื่องวัคซีนใน Sandbox ตนเองได้คุยกับนายอนุทินแล้ว ก็พร้อมที่จะสนับสนุนในเรื่องนี้  และในที่ประชุมศบค. โดยนายกฯ บอกว่ามาตรการอย่างนี้ก็น่าสนใจเช่นกันคาดว่าจะสามารถเริ่มนำนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาใน 2 พื้นที่นี้ได้ก่อน โดยเฉพาะภูเก็ตจะเริ่มได้ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2564

การผ่อนคลายมาตรการการกักตัว เพื่อเตรียมเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ

“หลักสำคัญอยู่ที่วัคซีนวิด-19 และการพิจารณาของกระทรวงสาธารณสุข ที่หากนำเข้ามาและกระจายฉีดให้คนในพื้นที่ได้เร็วมากเท่าใด ก็จะสามารถนำต่างชาติเข้ามาภายใตแซนด์บ๊อกซ์ได้เร็วเท่านั้น รวมถึงหากวัคซีนเข้ามาได้มากเพียงพอ ก็อาจพิจารณาเพิ่มพื้นที่ในการทำแซนด์บ๊อกซ์อีกได้” นายพิพัฒน์ กล่าวทิ้งท้าย

นายสนธยา คุณปลื้ม นายกเมืองพัทยา เผยถึงความพร้อมในการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติในรูปแบบ Area quarantine ว่าปัจจุบันเมืองพัทยา มีโรงแรมที่เป็น State Quarantine  11 แห่ง และโรงแรม Alternative Local State Quarantine อีก 20 แห่ง ที่สามารถแสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการกำหนดให้เป็นพื้นที่ Area quarantine

โดยจะมีการแบ่งพื้นที่ออกเป็น 2 โซน คือโซนสำหรับนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาในรูปแบบ Sandbox หรือ Area quarantine และพื้นที่ที่นักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติที่สามารถเดินทางมาท่องเที่ยวได้

ส่วนการขอรับวัคซีนนั้นภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวชลบุรี-พัทยา ได้เสนอขอรับวัคซีนเพิ่มเติมจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจากจำนวน 864,386 โดส เป็น 1 ล้านโดส เพื่อให้เพียงพอต่อการฉีดให้กับทั้งผู้บริหารและพนักงานที่เป็นชาวต่างชาติ รวมทั้งแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานในภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในพื้นที่

เราเที่ยวด้วยกันเฟส 3 ใช้สิทธิ์พ.ค.นี้

นอกจากการไทม์ไลน์ในการเปิดประเทศเพื่อรับนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้ว รัฐจะเดินหน้ากระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการไฟเขียวโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” เฟส 3 โดยเพิ่มจำนวนสิทธิห้องพัก 2 ล้านห้อง และขยายเวลาใช้ได้ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2564 และโครงการ “ทัวร์เที่ยวไทย”ที่จะเริ่มใช้สิทธิ์ได้ในเดือนพฤษภาคมนี้

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า โครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” เฟส 3 ประเมินแล้วคงไม่ทันใช้ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ หรือในเดือนเมษายนนี้ เพราะยังต้องจัดการระบบใหม่ เพื่อป้องกันการทุจริตที่อาจเกิดขึ้น อาทิ ต้องจองล่วงหน้า 7 วัน มีการสแกนใบหน้า ผู้ประกอบการต้องแจ้งจำนวนห้องพักที่มีทั้งหมด และราคาตามจริง 

ทั้งยังกำหนดให้ต้องเดินทางแบบข้ามจังหวัดที่ไม่ได้อยู่ในภูมิลำเนาเท่านั้น รวมถึงการปรับมูลค่าวอชเชอร์เหลือ 600 บาทต่อวัน เท่ากันทั้งวันธรรมดาและวันหยุด โดยคาดว่าประชาชนจะสามารถเริ่มใช้สิทธิจองห้องพักเพื่อท่องเที่ยวได้ ในสัปดาห์แรกของเดือนพฤษภาคม 2564

ส่วนโครงการ “ทัวร์เที่ยวไทย” ที่ปรับมาจากเที่ยวไทยวัยเก๋านั้น ยังคงแนวคิดในการกระตุ้น การเดินทางในวันธรรมดา ผู้เข้าร่วมโครงการมีอายุ 18 ปี ขึ้นไป ซึ่งรัฐบาลจะสนับสนุนค่าเดินทางผ่านบริษัททัวร์นำเที่ยวในสัดส่วน 40% ไม่เกิน 5,000 บาท จำนวน 1 ล้านสิทธิ โดยไม่กำหนดราคาแพ็กเกจทัวร์ขั้นต่ำ แต่คงเพดานสูงสุดที่ 12,500 บาท เพื่อไม่ให้เกินมูลค่าที่รัฐจะสมทบให้ 

โดยจะจำกัดบริษัททัวร์ให้บริการผู้เข้าร่วมโครงการได้ที่ 1,000 สิทธิต่อ 1 บริษัทเท่านั้น มีระยะเวลาในการดำเนินโครงการ 4 เดือน โดยย้ำว่า “เราเที่ยวด้วยกัน” และ “ทัวร์เที่ยวไทย” ประชาชนสามารถร่วมได้ทั้ง 2 โครงการ แต่กำหนดว่าห้ามใช้ทั้ง 2 โครงการในเวลาเดียวกัน เพื่อลดการได้รับสิทธิประโยชน์ที่ทับซ้อนกัน    

อย่างไรก็ตามการทยอยเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเกิดขึ้น และการกระตุ้นไทยเที่ยวไทย ทำให้ททท.ยังคงยืนยันเป้าหมายการสร้างรายได้ในภาคการท่องเที่ยวในปี 2564 อยู่ที่ 1.2 ล้านล้านบาท โดยเป็นรายได้จากไทยเที่ยวไทย 8.7 แสนล้านบาท จำนวนการเดินทาง 160 ล้านคน-ครั้ง 

ส่วนตลาดต่างชาติ สร้างรายได้ 3.2 แสนล้านบาท จำนวนจำนวนนักท่องเที่ยว 6.5 ล้านคน โดยการพยายามนำนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาในช่วงไตรมาส 3/2564 เพื่อเป็นแรงส่งให้บรรยากาศการท่องเที่ยวดีดตัวขึ้นในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ รวมถึงชิงโอกาสทางการตลาดก่อน และสร้างความมั่นใจว่าจะสามารถทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้แน่นอน 

ที่มา : หน้า 21-22 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 41 ฉบับที่ 3,665 วันที่ 28 - 31 มีนาคม พ.ศ. 2564

ข่าวที่เกี่ยวข้อง :