วิจัยร้อนธปท.ชงรัฐออกกฎ"เครดิตเทอม"ช่วยSMEs

08 ส.ค. 2563 | 10:54 น.

    แฉเบื้องหลังSMEsขาดสภาพคล่อง ถูกคู่ค้ายักษ์ใหญ่ต่อรองยืดเวลาชำระหนี้ยาวขึ้นกว่าเท่าตัว เสนอรัฐออกเกณฑ์มาตรการระยะเวลาเครดิตเทอมมาตรฐาน

 

วิจัยร้อนธปท. แฉเบื้องหลังSMEsขาดสภาพคล่อง ถูกคู่ค้ายักษ์ใหญ่ต่อรองยืดเวลาชำระหนี้ยาวขึ้นกว่าเท่าตัว ทีมวิจัยแนะรัฐออกเกณฑ์เครดิตเทอม กำหนดกรอบเวลามาตรฐานให้มีผลบังคับใช้ตามกฎหมาย ควบคู่มาตรการเสริมสภาพคล่อง เช่น สินเชื่อซัพพลายเชน 

    

ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)  เผยแพร่งานวิจัยขนาดสั้นที่เสนอข้อมูลหรือมุมมองใหม่ Focused  and Quick - FAQ) รายการที่ 175 ใหม่ล่าสุดวันที่ 7 สิงหาคม 2563 เรื่อง  ข้อเสนอแนะการกำหนดเกณฑ์มาตรฐานระยะเวลาการให้สินเชื่อการค้า (Credit term) ในประเทศไทย จัดทำโดย รศ.ดร.เสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์, ดร. จิตเกษม พรประพันธ์, ฐิตา เภกานนท์ และ พลเทพ หอมศรีวรานนท์  ชี้ว่า
    

การขาดสภาพคล่องนับเป็นหนึ่งในปัญหาหลักของ SMEs ที่นำไปสู่ปัญหาด้านหนี้สินและการสูญเสียความสามารถทางการแข่งขัน โดย SMEs ส่วนใหญ่ที่ประสบปัญหาด้านการบริหารเงินทุนหมุนเวียน ส่วนหนึ่งเป็นผลจาก “การถูกคู่ค้ายืดหรือขยายระยะเวลาการชำระสินเชื่อการค้า หรือระยะเวลา Credit term” 
    

ซึ่งจากการศึกษาพบว่า SMEs ที่ทำธุรกิจหรือเป็นคู่ค้ากับธุรกิจขนาดใหญ่ มักมีแนวโน้มจะถูกต่อรองขยายระยะเวลา Credit term ให้ยาวนานขึ้น โดยปี 2559 ระยะเวลา Credit term สำหรับบริษัทขนาดใหญ่อยู่ที่ประมาณ 55 วัน และสำหรับบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ นานถึง 62 วัน ซึ่งสูงกว่าระยะเวลา Credit term  โดยเฉลี่ยที่ SMEs ให้แก่คู่ค้าที่ประมาณ 30 - 45  วัน 
วิจัยร้อนธปท.ชงรัฐออกกฎ"เครดิตเทอม"ช่วยSMEs     

นอกจากนี้ยังพบว่า ปัจจุบัน SMEs ในประเทศไทยกว่าร้อยละ 96 มีการซื้อขายในรูปแบบเงินเชื่อ หรือมีการให้เครดิตการค้าแก่ผู้ซื้อ โดยระยะเวลา Credit term โดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวจากปี 2559 มาอยู่ที่ 60 วัน และในบางธุรกิจได้ขยายไปสูงสุดถึง 120 วัน  ส่งผลให้ SMEs จำนวนมากได้รับผลกระทบจากสภาพคล่องทางการเงิน ที่ลดลง ดังนั้น การกำหนดเกณฑ์มาตรฐานระยะเวลา Credit term จึงถือเป็นหนึ่งในกลไกการแก้ไขและบรรเทาปัญหาสภาพคล่อง ให้แก่ภาคธุรกิจ โดยเฉพาะ SMEs อีกทั้งยังช่วยลดความเหลื่อมล้ำของอำนาจการต่อรองระหว่าง SMEs และบริษัทขนาดใหญ่ 
    

ซึ่งทีมวิจัยเสนอให้มีการกำหนดเกณฑ์มาตรฐานระยะเวลาการให้สินเชื่อการค้า (Credit term) สำหรับการซื้อ-ขายระหว่างภาคธุรกิจ โดยให้มีผลบังคับใช้ และบทลงโทษทางกฎหมาย และมีแรงจูงใจด้านบวกให้ ภาคธุรกิจปฏิบัติตามอย่างต่อเนื่องและเคร่งครัด เพื่อให้การบรรเทาและแก้ไขปัญหาสภาพคล่องของ SMEs  สามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิผลที่ชัดเจน 3 ประการ คือ
   

    1. กำหนดเกณฑ์มาตรฐานระยะเวลา Credit term โดยลูกหนี้การค้าจะต้องชำระหนี้ให้แก่คู่ค้าภายใน ระยะเวลา 30 – 45 วัน
    2. เสนอให้มีการเปิดเผยข้อมูลระยะเวลา Credit term โดยเฉลี่ยในการจัดทำแบบแสดงรายการข้อมูล ประจำปี (แบบ 56-1)  สำหรับบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ
    3. ศึกษาและกำหนดแนวทางการส่งเสริมและสร้าง แรงจูงใจสำหรับภาคธุรกิจให้มีแนวปฏิบัติที่ดี  (Best practice) ในการลดระยะเวลา Credit term

 

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

อุ้ม5แสนราย เอสเอ็มอีชายขอบ ลุ้นลุงตู่ ทุ่ม5หมื่นล้านดอกเบี้ย1%10 ปี

“สุริยะ” สั่ง “ธพว.” อัดฉีดสินเชื่อ 4 หมื่นล้านช่วย “SMEs” สร้างมูลค่าเศรษฐกิจกว่า 9 หมื่นล.

เสนอตั้งกองทุนพิเศษดูแล โยกกู้ 1 แสนล้าน เติมสภาพคล่องSMEs


     วิจัยร้อนธปท.ชงรัฐออกกฎ"เครดิตเทอม"ช่วยSMEs

วิจัยร้อนธปท.ชงรัฐออกกฎ"เครดิตเทอม"ช่วยSMEs

ทีมวิจัยส่งท้ายว่า     การเพิ่มขึ้นของระยะเวลาการให้สินเชื่อการค้า หรือระยะเวลา Credit term ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสภาพคล่องทางการเงินของภาคธุรกิจ โดยเฉพาะ SMEs  เนื่องจาก SMEs ส่วนใหญ่มีการให้สินเชื่อแก่คู่ค้าที่ซื้อ-ขายสินค้าและบริการระหว่างกัน  โดยปัจจุบัน ระยะเวลา Credit term มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น  อีกทั้ง กลุ่ม SMEs ที่เป็นคู่ค้าหรือ Supplier ของบริษัทขนาดใหญ่มักถูกต่อรองระยะเวลา Credit term ให้ยาวนานขึ้น ทำให้หลายธุรกิจต้องเผชิญปัญหาด้านการจัดสรรและบริหารจัดการเงินหมุนเวียน ซึ่งนำมาสู่ภาระหนี้สินและความสามารถทางการแข่งขันที่ลดลง 
  

 ดังนั้น การกำหนดเกณฑ์มาตรฐานระยะเวลาการให้สินเชื่อการค้า(ระยะเวลา Credit term) จึงถือเป็นหนึ่ง ในกลไกการแก้ไข และบรรเทาปัญหาสภาพคล่องให้แก่ภาคธุรกิจ โดยเฉพาะ SMEs  อีกทั้งยังช่วยลดความเหลื่อมล้ำของอำนาจการต่อรองระหว่าง SMEs และบริษัทขนาดใหญ่  โดยควรดำเนินการควบคู่กับมาตรการเสริมสภาพคล่องในมิติอื่น ๆ อาทิ การส่งเสริมสินเชื่อประเภท Supply chain financing เพื่อเพิ่มเงินหมุนเวียนให้แก่ธุรกิจในห่วงโซ่ อุปทาน รวมถึงสนับสนุนการพัฒนาระบบ Enterprise Resource Planning (ERP) ให้ SMEs เข้าถึงในวงกว้าง เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ