การที่ “เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป”ประกาศซื้อหุ้น 65% ของ “แหลมเจริญซีฟู้ด” สำหรับในแวดวงธุรกิจอาหารอาจไม่ใช่เรื่องน่าตกใจ เพราะความแข็งแรงทั้งด้านการบริหารจัดการ และการเงินของ “MK” สามารถซื้อกิจการธุรกิจฟู้ด และนอนฟู้ดได้แบบสบายๆ
แต่คำถามอยู่ที่ว่า ทำไมต้องเป็น “แหลมเจริญซีฟู้ด” เพราะการทุ่มเงิน 2,060 ล้านบาท ไม่ใช่เงินน้อยๆ สามารถซื้อกิจการของแบรนด์ต่างชาติดังๆ ได้และยังเดินเกมต่อไม่ยาก แม้เบื้องต้นจะยังไม่มีการชี้แจงถึงแผนธุรกิจในอนาคต แต่เชื่อว่าเส้นทางของแหลมเจริญซีฟู้ดนับจากนี้จะโลดแล่นและโดดเด่น ทั้งในไทยและต่างประเทศ ด้วยฝีมือของ “MK”
“แหลมเจริญ” แบรนด์ธรรมดาที่ไม่ธรรมดา
หากไม่ใช่สาวกซีฟู้ดตัวฉกาจ อาจจะไม่เคยลิ้มรสหรือใช้บริการของ “แหลมเจริญซีฟู้ด” แต่สำหรับนักชิมระดับมือโปรต้องยกนิ้วให้ “ปลากะพงทอดน้ำปลา” ที่ว่ากันว่า เป็นเมนูเด็ด ยากจะหาร้านใดเทียบเทียมได้
จากร้านอาหารทะเลเล็กๆ ที่เปิดอยู่ปลายสุดของแหลมเจริญ จังหวัดระยองเมื่อ 40 ปีก่อน มีลูกค้าทั้งขาประจำ ขาจรแวะเวียนไปมา เพราะความสด ความอร่อย รสชาติจัดจ้าน ทำให้ถูกกล่าวขานและบอกต่อแบบปากต่อปาก ที่สุดก็ตัดสินใจเปิดให้บริการสาขาแรกที่กรุงเทพฯ บริเวณสี่แยกเหม่งจ๋าย เมื่อ 10 ปีก่อ แน่นอนว่า ด้วยกระแสตอบรับที่ดี จึงขยายสาขา 2 และ 3 ตามมา
"แหลมเจริญซีฟู้ด” เติบโตอย่างรวดเร็ว จนมีสาขามากถึง 19 แห่ง ทั้งในรูปแบบสแตนด์อะโลน และบนห้าง แม้การบริหารจะเป็นธุรกิจครอบครัว แต่ก็มีการจัดวางระบบอย่างเป็นมืออาชีพ มีครัวกลาง มีบ่อเลี้ยงกุ้ง ปลา ปู ที่พร้อมเสกสรรวัตถุดิบให้กับผู้บริโภค รวมทั้งการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ เพื่อควบคุมต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และให้บริการกับลูกค้า จนแข็งแกร่งและถือเป็นผู้นำในตลาดร้านอาหารซีฟู้ดเมืองไทย
แตกหน่อ สยายปีกโกอินเตอร์
ความสำเร็จที่ผ่านมาทำให้ “แหลมเจริญซีฟู้ด” เริ่มกล้าที่จะแตกไลน์แบรนด์ใหม่ “The cape by แหลมเจริญ” ร้านอาหารซีฟู้ดอีกรูปแบบที่เหมาะสำหรับกลุ่มครอบครัวขนาดเล็ก หรือกลุ่มลูกค้าขนาดเล็กที่มารับประทาน 1-2 คน รวมถึงร้าน Laem Charoen Home Café ร้านอาหารสไตล์ฟิวชั่น จิบกาแฟ เสริฟอาหารง่ายๆ นั่งชิล ชิล ส่วนรูปแบบบริการนอกจากนั่งทานในร้านแล้ว ยังมีบริการแหลมเจริญ แคเทอร์ริ่ง และดีลิเวอรีด้วย เรียกว่า ครบสูตร
ในปีที่ผ่านมา ยังเห็นการขยับตัวครั้งใหญ่ของ “แหลมเจริญซีฟู้ด” เมื่อจับมือกับ บริษัท เอ็นพีพีจี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ NPPG ตั้งบริษัท Kinghill Food รุกทำธุรกิจร้านอาหารในจีน โดยแหลมเจริญฯ ถือหุ้นในสัดส่วน 20% เปิดสาขาแรกที่เซี่ยงไฮ้ ในไตรมาส 4 ปี 2561 พร้อมกับมีแผนขยายสาขาในปักกิ่ง เฉิงตู ฉงชิ่ง เซินเจิ้น ฯลฯ ด้วย
ซีฟู้ด จิกซอร์เสริมแกร่งพอร์ต
ส่วนแบรนด์ “MK” นั้นหลายคนคงรู้จักกันดี แต่อาจจะลืมไปว่า เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป ไม่ได้มีดีแต่เรื่อง “สุกี้” เท่านั้น ภายใต้การนำทัพของ “ฤทธิ์ ธีระโกเมน” แม่ทัพใหญ่ ปัจจุบันโครงสร้างธุรกิจของ MK แบ่งออกเป็น 5 กลุ่มหลัก ได้แก่
1. ร้านสุกี้ ประกอบด้วย เอ็มเค สุกี้ 438 สาขา , เอ็มเค โกลด์ 6 สาขา , เอ็มเค ไลฟ์ 4 สาขา
ฤทธิ์ ธีระโกเมน
2. ร้านอาหารไทย ณ สยาม 1 สาขา และเลอ สยาม 3 สาขา
3. ร้านอาหารญี่ปุ่น ยาโยอิ 184 สาขา , มิยาซากิ เทปปันยากิ 26 สาขา , อากาตะ ราเมน 4 สาขา
4. ร้านอาหารอื่นๆ ได้แก่ เลอเพอทิท ร้านกาแฟและอาหารจานเดียว 3 สาขา , บิซซี่ บ็อกซ์ 4 สาขา และเอ็มเค อาร์เวสต์ 1 สาขา (ข้อมูล ณ สิ้นปี 2561)
5. แฟรนไชส์ต่างประเทศ ซึ่งวันนี้มีเอ็มเคฯ อยู่ในต่างแดนกว่า 40 สาขาในประเทศ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ เวียดนาม และลาว
ขณะที่ในปี 2561 เอ็มเค ได้ประกาศการลงทุนครั้งสำคัญ ด้วยการร่วมทุนกับ Senko Group Holding ตั้งบริษัท เอ็ม-เซนโค โลจิสติกส์ จำกัด เพื่อดำเนินธุรกิจขนส่งและคลังสินค้า
สำหรับผลประกอบการของเอ็มเค ใน 6 เดือนแรกมีรายได้รวม 8,822. ล้านบาท เติบโต6.3% กำไร 1,398. ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.3% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ในปี 2561 มีรายได้รวม 17,234 ล้านบาท กำไร 2,574 ล้านบาท. ปัจจุบัน MK มีมูลค่าบริษัทเท่ากับ 66,073 ล้านบาท อยู่ลำดับที่ 5 ในหมวดเกษตร และอุตสาหกรรมอาหารของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ชั่วโมงนี้ “เอ็มเค” จึงเป็นกลุ่มธุรกิจร้านอาหารที่มีความพร้อมที่สุดรายหนึ่งในเมืองไทย การเพิ่มพอร์ตโดยเลือกธุรกิจที่มีความแข็งแรงและอยู่ในอุตสาหกรรมที่กำลังเป็นบลู โอเชียน แบรนด์ “แหลมเจริญซีฟู้ด” ก็จะอยู่ในอันดับต้นๆที่จะเลือก
ขณะที่ข้อมูลศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า ในปี 2559 ธุรกิจร้านอาหารมีมูลค่าสูงเกือบ 4 แสนล้านบาท เติบโต 1-2% จากปีก่อนที่มีมูลค่าราว 3.75 ล้านบาท โดยนับจากปี 2558 เป็นต้นมา พบว่าธุรกิจร้านอาหารซีฟู้ดขนาดกลางและเล็กที่ให้บริการหลากหลายตั้งแต่ภัตตาคาร ร้านอาหารทั่วไป และร้านอาหารแบบบุ๊ฟเฟ่ต์ รวมถึงบริการสั่งทางอินเตอร์เน็ตที่ไม่มีหน้าร้านเกิดขึ้นจำนวนมาก แต่มีเพียงไม่กี่แห่งที่มีความโดดเด่น
ดังนั้น หน้าใหม่ที่เข้ามาจึงต้องสร้างจุดขายที่แตกต่าง ทั้งเรื่องของวัตถุดิบที่ไม่ใช่เพียงสด ใหม่ ซัพพลายเออร์จึงมีความสำคัญ มีการนำโปรแกรมการจัดการเข้ามาช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยร้านอาหารซีฟู้ดแต่ละรูปแบบ จะมีจุดขายที่แตกต่างกัน แต่ที่สุดแล้วเรื่องของ “คุณภาพ” ความสด ใหม่คือสิ่งสำคัญที่สุด
พายุในธุรกิจ “ร้านอาหารซีฟู้ด” วันนี้ดุเดือดไม่แพ้ร้านอาหารประเภทอื่น ทั้งอาหารญี่ปุ่น อาหารจีน ส่วนการเดินหน้าธุรกิจก็หยุดไม่ได้ การหาพาร์ทเนอร์มาร่วมคิด ร่วมลงทุน ร่วมเติบโต จึงเป็นสิ่งที่ช่วยสร้างความสำเร็จให้เกิด สมกับคำที่ว่า “วันนี้ธุรกิจเดินคนเดียว โตคนเดียวไม่ได้”
แต่จะว่าไปแล้ว Story ของ “แหลมเจริญซีฟู้ด” และ “เอ็มเค” ไม่แตกต่างกันเท่าไรนักจริงมั้ย? เพราะกว่าจะมาถึงวันนี้ได้ ก็ล้มลุก คลุกคลานกันมามากโข...