บลูมเบิร์ก จัด20อันดับตระกูลนักธุรกิจผู้มั่งคั่งที่สุดในเอเชีย ตระกูลดังเจ้าของบริษัทรีไลแอนซ์ ซัมซุง และซันโตรี ส่วนตระกูลดังฮ่องกงติดกลุ่มสัดส่วนสูง 30%
บลูมเบิร์ก ได้เผยแพร่รายงานการจัดอันดับ 20 ตระกูลเศรษฐีนักธุรกิจของเอเชีย วานนี้ (23ส.ค.)ระบุว่าตระกูลนักธุรกิจชื่อดังที่เป็นเจ้าของบริษัทรีไลแอนซ์ ซัมซุง และซันโตรีติดกลุ่มตระกูลที่มีฐานะมั่งคั่งที่สุด20 อันดับในภูมิภาคเอเชีย และในจำนวนนี้ มีตระกูลดังในฮ่องกงครองสัดส่วนถึง 30%
ในบรรดาตระกูลนักธุรกิจทั้ง 20 ตระกูล อันดับ1 คือตระกูลอัมบานี เจ้าของบริษัท รีไลแอนซ์ อินดัสตรีส์ ในอินเดีย มีสินทรัพย์50.4 พันล้านดอลลาร์
อันดับ2ตระกูลก๊วก เจ้าของบริษัท ซัน ฮุง ไก พร็อพเพอร์ตี้ในฮ่องกง มีสินทรัพย์รวม 38 พันล้านดอลลาร์
อันดับ3 ตระกูลเจียรวนนท์ เจ้าของบริษัทเจริญโภคภัณฑ์ กรุ๊ป ในไทย มีสินทรัพย์รวม 37.9 พันล้านดอลลาร์
อันดับ4 ตระกูลฮาร์ตาโน ในอินโดนีเซีย เจ้าของบริษัทดีจารัม,แบงก์ เซนทรัล เอเชีย มีสินทรัพย์ 32.5 พันล้านดอลลาร์
ตระกูลฮาร์ตาโน เริ่มสร้างฐานะขึ้นมาจากธุรกิจยาสูบ โดยทุกวันนี้บุหรี่ยี่ห้อดีจารัมที่ตั้งชื่อตามเข็มเครื่องเล่นแผ่นเสียงยังคงเป็นหนึ่งในกิจการบุหรี่ที่ใหญ่ที่สุดในอินโดนีเซีย สองพี่น้องบูดิและไมเคิลร่วมกันบริหารธุรกิจของตระกูล ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าแบรนด์ดังอย่างโพลีทรอน ไปจนถึงธุรกิอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำในกรุงจาการ์ตา โดยปัจจุบันทายาทรุ่นที่ 3 กำลังก้าวขึ้นสู่บทบาทผู้บริหารในบีซีเอ และดีจารัม
อันดับ5 ตระกูลลี ในเกาหลีใต้ เจ้าของบริษัทซัมซุง มีสินทรัพย์ 28.5 พันล้านดอลลาร์
อันดับ6 ตระกูลอยู่วิทยา ในประเทศไทย เจ้าของทีซีพี กรุ๊ป มีสินทรัพย์รวมมูลค่า 24.5 พันล้านดอลลาร์
อันดับ7 ตระกูลมิสทรี ในอินเดีย เจ้าของบริษัทชาปูร์จี พาลลอนจี กรุ๊ป มีสินทรัพย์มูลค่า 21.1 พันล้านดอลลาร์
อันดับ8 ตระกูลไซ ในฟิลิปปินส์ เจ้าของบริษัทเอสเอ็ม อินเวสตท์เมนท์ มีสินทรัพย์มูลค่า 20.9 พันล้านดอลลาร์ เป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศฟิลิปปินส์ โดยเริ่มต้นธุรกิจจากการเปิดร้านรองเท้าเล็กๆ ในกรุงมะนิลา ก่อนที่จะสร้างเป็นห้างสรรพสินค้าเล็กๆ ที่ชื่อเอสเอ็ม ไพรม์ ปัจจุบันกิจการเอสเอ็ม อินเวสต์เมนท์ คอร์ป ของครอบครัวกลายมาเป็นธุรกิจค้าปลีกที่ใหญ่ที่สุดของฟิลิปปินส์ ขยายกิจการไปมากกว่า 200 สาขา
อันดับ9 ตระกูลจิราธิวัฒน์ ในไทย เจ้าของเซนทรัล กรุ๊ป มีสินทรัพย์มูลค่า 20.3 พันล้านดอลลาร์
อันดับ10 ตระกูลคาดอรี ในฮ่องกง เจ้าของบริษัทซีแอลพี โฮลดิงส์ มีสินทรัพย์มูลค่า 18.5 พันล้านดอลลาร์
อันดับที่11 ตระกูลก๊วก จากสิงคโปร์ เจ้าของบริษัทหงเหลียง กรุ๊ป มีสินทรัพย์มูลค่า 18.4 พันล้านดอลลาร์สมาชิกของตระกูลกว่า 15 คนร่วมกันบริหารธุรกิจในเครือหงเหลียงกรุ๊ป ซึ่งเป็นกิจการที่ครอบคลุมตั้งแต่ธุรกิจการเงินไปจนถึงอสังหาริมทรัพย์ โดยมีความร่ำรวยของตระกูลย้อนหลังไปตั้งแต่ปี 2484 เมื่อก๊วก หง เปง ก่อตั้งบริษัทขึ้นมาร่วมกับพี่น้อง 3 คน
อันดับ12 ตระกูลเฉิง อยู่ในฮ่องกง เจ้าของบริษัทโชว ไท่ ฟุก มีสินทรัพย์มูลค่า 18.2 พันล้านดอลลาร์
อันดับ 13 ตระกูลอึ้ง ในสิงคโปร์ เจ้าของฟาร์อีสต์ ออร์กาไนเซชัน มีสินทรัพย์มูลค่า 17.2 พันล้านดอลลาร์
อันดับ14 ตระกูลเปา ในฮ่องกง เจ้าของบริษัทบีดับเบิลยู กรุ๊ปวีล็อก มีสินทรัพย์มูลค่า 16.7 พันล้านดอลลาร์
อันดับ15 ตระกูลไซ ในไต้หวัน เจ้าของบริษัทคาเธ่ย์ ไฟแนนเชียล และฟูบอน ไฟแนนเชียล มีสินทรัพย์มูลค่า 16.2 พันล้านดอลลาร์
อันดับ16 ตระกูลฮินดูจา ในอินเดีย เจ้าของบริษัทฮินดูจา กรุ๊ป มีสินทรัพย์รวมมูลค่า 16 พันล้านดอลลาร์
อันดับ 17 ตระกูลโฮ ในฮ่องกง เจ้าของบริษัทเอสเจเอ็ม มีสินทรัพย์มูลค่า 14.9 พันล้านดอลลาร์
อันดับ 18 ตระกูลทอริอิ/ซาจิ ในญี่ปุ่น เจ้าของบริษัทซันโตรี มีสินทรัพย์มูลค่า 14.8 พันล้านดอลลาร์
อันดับ 19 ตระกูลลี ในฮ่องกง เจ้าของบริษัทลี คุม คี มีสินทรัพย์มูลค่า 14.7 พันล้านดอลลาร์
อันดับ20 ตระกูลชุง ในเกาหลีใต้ เจ้าของบริษัทฮุนได มีสินทรัพย์มูลค่า 13.5 พันล้านดอลลาร์
ในขณะตระกูลนักธุรกิจไทยติดกลุ่ม 3 ตระกูลคือ “ตระกูลเจียรวนนท์-อยู่วิทยา-จิราธิวัฒน์”
ตระกูลเจียรวนนท์ ติดโผในอันดับที่ 3 เจ้าของบริษัทเจริญโภคภัณฑ์ กรุ๊ป ในไทย มีสินทรัพย์รวม 37.9 พันล้านดอลลาร์ นับตั้งแต่ที่ นายธนินท์ เจียรวนนท์ วัย 80 ปีประกาศวางมือจากตำแหน่งประธานกรรมการ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF เมื่อเดือนเมษายน 2562 ตำแหน่งประธานกรรมการบริษัท ซีพีออลล์ จำกัด (มหาชน) ในเดือนพฤษภาคมปีเดียวกัน และประธานกรรมการบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น มีผลในวันที่ 14 มิถุนายนที่ผ่านมา
โดยตั้งนายสุภกิต เจียรวนนท์ ทายาทคนโต เป็นประธานซีพีเอฟ ควบตำแหน่งประธานซีพีกรุ๊ป มี“ณรงค์ เจียรวนนท์”บุตรชายอีกคนเป็นรองประธาน และแต่งตั้งนายศุภชัย เจียรวนนท์ บุตรชายคนที่ 3 เข้ามาทำหน้าที่ประธานกรรมการ ส่วนกลุ่มสื่อโทรคมนาคมภายใต้อาณาจักร "ทรู คอร์ปอเรชั่น" สำหรับกลุ่มธุรกิจค้าปลีก นายธนินท์ เจียรวนนท์ ยังนั่งเป็นประธานกรรมการ และมีนายก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหารและรองประธานกรรมการ
ตระกูลอยู่วิทยา ติดโผมาเป็นอันดับ6 สำหรับตระกูลอยู่วิทยา เจ้าของทีซีพี กรุ๊ปหรือที่คนไทยและชาวโลกรู้จักกันดีในนามของ ผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายเครื่องดื่มภายใต้แบรนด์กระทิงแดง (เรดบูล) เรดดี้ โสมพลัส สปอนเซอร์ แมนซั่ม เพียวริคุ ซันสแนค และวอริเออร์ และอื่นๆอีกมากมาย ด้วยมูลค่า
สินทรัพย์รวมกว่า 24.5 พันล้านดอลลาร์ ภายใต้การนำของ "สราวุฒิ อยู่วิทยา" กับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทายาทผู้กุมทัพธุรกิจให้เติบโตในระดับโลกในครั้งนี้ ด้วยการประกาศแผนเดินหน้าปูพรมรุกตลาดโลกภายใต้ยุทธศาสตร์ 5 ปี (2560-2564) แบบเต็มสูบ
พร้อมกันนี้ยังมีแผนเปิดสำนักงาน หรือโรงงานในต่างประเทศอย่างน้อย 1 แห่งต่อปี เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการเป็น House of Brand หรือองค์กรที่มีหลายแบรนด์สินค้าครอบคลุมทุกกลุ่ม โดยล่าสุดทางกลุ่มได้ประกาศทุ่มเม็ดเงินกว่า 1.3 พันล้านบาท ในการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ ด้วยการเสริมทัพเทคโนโลยีดิจอตอล พร้อมเสริมแกร่งอีบิสซิเนส ดึงคนรุ่นใหม่เสริมแกร่งบริษัท เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการสร้างธุรกิจให้เติบโตขึ้น 3 เท่า หรือมียอดขายแสนล้าน
ตระกูลจิราธิวัฒน์ เจ้าของเซ็นทรัล กรุ๊ป กับโผมหาเศรษฐีอันดับ 9 มีสินทรัพย์มูลค่า 20.3 พันล้านดอลลาร์ โดยมีคีย์เเมนคนสำคัญอย่าง "ทศ จิราธิวัฒน์" นั่งแท่นกุมบังเหียนผลักดันการเติบโตในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด ในการผลักดันธุรกิจในเครือทั้งไทย และต่างประเทศให้ประสบความสำเร็จพร้อมเดินหน้าเข้าสู่ยุคใหม่ "นิวเซ็นทรัล นิวอีโคโนมี” (NEW CENTRAL, NEW E-CONOMY) ภายใต้ยุทธศาสตร์ 5 ปี (ปี 2561-2565) พร้อมแผนลงทุนปีละ 4-5 หมื่นล้านบาท ในการขยายธุรกิจในทุกๆ กลุ่ม รวมถึงค้าปลีกและแบรนด์สินค้า รวมถึงการพัฒนาและนำนวัตกรรมมาใช้
สำหรับอาณาจักรค้าปลีกของเซ็นทรัล เริ่มต้นจากธุรกิจครอบครัวเมื่อ 72 ปีก่อน จวบจนปัจจุบัน เซ็นทรัล กรุ๊ป ทะยานสู่ผู้นำค้าปลีกอันดับ 1 ของเมืองไทย ที่มีอาณาจักรทั้งในกลุ่มห้างสรรพสินค้า อสังหาริมทรัพย์ โรงแรม ธุรกิจอาหาร ไลฟ์สไตล์ รวมถึงธุรกิจค้าปลีกในเวียดนาม และยุโรป ด้วยรายได้รวมกว่า 3.9 แสนล้านบาทในปีที่ผ่านมา สร้างปรากฏการณ์ให้กลุ่มทุนทั้งไทยและต่างประเทศต้องหันกลับมามองถึงศักยภาพและการลงทุนในเมืองไทยอีกครั้ง