อย. ร่วมกับ กสทช. – สคบ. - ดีอี - สตช. ลงนามการกำกับดูแลการโฆษณาอาหาร ยา และผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ผิดกฎหมาย ทั้งทางสื่อวิทยุกระจายเสียง โทรทัศน์ อินเทอร์เน็ต และสื่อสังคมออนไลน์ หวังลดปัญหาการโฆษณาอาหาร ยา เกินจริง หลอกลวงผู้บริโภค
นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ เลขาธิการ คณะกรรมการอาหารและยา กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงกับเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชน ได้แก่ กสทช. ในการกำกับดูแลสื่อโทรทัศน์และวิทยุ, กระทรวง DE ในการระงับ/ปิดกั้นเว็บไซต์, บก.ปคบ. ในการตรวจจับผู้กระทำผิดกฎหมาย และ สคบ. กรณีการเรียกร้องค่าเสียหาย การดำเนินธุรกิจขายตรง และการตลาดแบบตรง เพื่อควบคุมกำกับดูแลการโฆษณา อาหาร ยา และผลิตภัณฑ์สุขภาพ ที่ผิดกฎหมายทางสื่อโทรทัศน์ วิทยุกระจายเสียง
โดยเฉพาะสื่ออินเทอร์เน็ตและสื่อสังคมออนไลน์มีความซับซ้อนและทวีความรุนแรงมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีการนำเสนอโฆษณาที่มีลักษณะโอ้อวด หรือ แสดงสรรพคุณอันเป็นเท็จหรือเกินจริง ซึ่งไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภคและอาจก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพและสังคมเป็นส่วนรวม สื่อเหล่านี้เป็นสื่อที่สามารถเข้าถึงประชาชนได้รวดเร็ว และมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภคในการเลือกซื้อสินค้า หรือ บริการต่าง ๆ ผู้บริโภคจึงตกอยู่ในภาวะเสี่ยงที่จะถูกหลอกลวง ถูกละเมิดสิทธิจากผู้ประกอบกิจการได้ง่าย
ในปี 2561 ที่ผ่านมา จากการตรวจสอบร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามกฎหมายเกี่ยวกับการโฆษณามากกว่า 4,000 รายการ และตรวจจับผู้กระทำผิดมูลค่าสินค้ามากกว่า 200 ล้านบาท เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและอย่างยั่งยืน ครอบคลุมทุกสื่อ
ด้าน พล.ท. ดร.พีระพงษ์ มานะกิจ กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กล่าวว่า การกำกับดูแลการโฆษณาอาหาร ยา และผลิตภัณฑ์สุขภาพ เป็นภารกิจที่ กสทช. และ อย. ต่างก็มีอำนาจหน้าที่ภายใต้กฎหมายของตนเอง โดยที่ สำนักงาน กสทช. มีอำนาจหน้าที่โดยตรงเฉพาะการกำกับดูแลการออกอากาศรายการ หรือ การโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพ ที่ออกอากาศทางวิทยุและโทรทัศน์ ก่อนหน้านี้การทำงานเป็นลักษณะที่แต่ละหน่วยงานต่างทำงานไปภายใต้ระบบของตนเอง
ทำให้การพิจารณาข้อร้องเรียนแต่ละเรื่องกว่าจะได้ข้อยุติและสิ้นสุดกระบวนการต้องใช้เวลาค่อนข้างนานอย่างน้อย 6 เดือน หรือบางกรณีอาจใช้เวลานานร่วมปี นอกจากนี้ บทลงโทษต่อการกระทำความผิดกรรมเดียวกันยังอาจต้องรับโทษ 2 ทาง ทำให้อาจเกิดความซ้ำซ้อนและเป็นประเด็นปัญหาข้อกฎหมาย เมื่อมีการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการร่วมขึ้นในสำนักงาน กสทช. และมีข้อร้องเรียนเกิดขึ้น หรือ การตรวจพบการกระทำความผิด เจ้าหน้าที่สามารถวิเคราะห์ วินิจฉัย และชี้มูลได้ทันที
โดยปัจจุบัน สามารถสรุปเรื่องให้แล้วเสร็จได้ภายใน 3 วัน นับตั้งแต่มีความร่วมมือจนถึงปัจจุบัน ตรวจพบผู้ประกอบกิจการโทรทัศน์กระทำความผิดและดำเนินการไปแล้วกว่า 70 ราย สั่งระงับการโฆษณาที่ผิดกฎหมายไปแล้วกว่า 120 กรณี จึงถือได้ว่า การปฏิบัติงานร่วมกันประสบความสำเร็จอย่างมาก ก่อให้เกิดการตื่นตัวและปรับตัวของผู้ประกอบการอย่างกว้างขวาง เนื่องจากโทษทางปกครองสำหรับผู้ฝ่าฝืน หรือ กระทำความผิดตามกฎหมาย กสทช. นั้นค่อนข้างสูง ทำให้ปัญหาการกระทำที่เป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคในกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ลดลงอย่างเห็นได้ชัด
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของสื่ออินเทอร์เน็ตและสื่อสังคมออนไลน์นั้น กสทช. ไม่มีอำนาจโดยตรง จึงต้องกำกับดูแลร่วมกับกระทรวง DE ที่ผ่านมา อย. ตรวจพบการโฆษณาที่ผิดกฎหมายในกว่า 570 URL ซึ่ง กสทช. สามารถแจ้งผู้ให้บริการอินเทอร์เนต หรือ ISP ระงับ/ปิดกั้น ได้สำเร็จกว่า 240 URL หรือคิดเป็นร้อยละ 42 ทั้งนี้ กระทรวง DE จะได้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต่อไป กสทช. จึงเสนอให้ใช้โมเดลการจัดการปัญหาการโฆษณาอาหาร ยา และผลิตภัณฑ์สุขภาพทางสื่อวิทยุกระจายเสียงและโทรทัศน์ โดยขยายผลให้ครอบคลุมไปยังสื่ออื่น ๆ ด้วย โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงาน กสทช., อย., สคบ., กระทรวง DE และ สตช. โดย บก.ปคบ. ทั้งนี้ เพื่อให้การจัดการปัญหาการโฆษณาอาหาร ยา และผลิตภัณฑ์สุขภาพ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ครบถ้วน ครอบคลุมทุกมิติ
ด้าน พล.ต.ต.ประสิทธิ์ เฉลิมวุฒิศักดิ์ เลขาธิการ คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค กล่าวว่า ที่ผ่านมา ผู้ประกอบธุรกิจได้มีการทำการโฆษณาขายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและผลิตภัณฑ์สุขภาพโดยใช้ช่องทางโฆษณาผ่านสื่อต่าง ๆ เช่น หนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ ป้ายโฆษณา วิทยุ และทางอินเทอร์เน็ต โดยมีการอวดอ้างสรรพคุณ แจ้งรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของสินค้าหรือบริการที่เป็นเท็จเกินจริง หรือใช้เทคนิคทางการตลาดที่เอาเปรียบผู้บริโภค เช่น การจัดรายการส่งเสริมการขาย ลด แลก แจก แถม แจ้งราคาเกินจริง เป็นต้น เพื่อให้ผู้บริโภครู้สึกว่าได้ของดีราคาแพง แต่สามารถซื้อได้ในราคาถูก และพบว่า ปัญหาดังกล่าวเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากปัจจุบัน ผู้ประกอบธุรกิจเข้าถึงผู้บริโภคง่ายขึ้น เร็วขึ้น ในช่องทางการโฆษณาผ่านสื่อโทรทัศน์และอินเทอร์เน็ต ใช้กลหลอกล่อทำให้ผู้บริโภคหลงเชื่อได้ง่าย
"สคบ. ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้บริโภคเกี่ยวกับการได้รับความเสียหายจากการใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร กรณีใช้แล้วไม่เห็นผล ไม่เป็นไปตามที่โฆษณา ซึ่ง สคบ. ได้ดำเนินการเจรจาไกล่เกลี่ยและเรียกร้องค่าเสียหายให้กับผู้บริโภคเป็นจำนวนมาก การทำความร่วมมือในครั้งนี้ ถือว่าเป็นการบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อบังคับใช้กฎหมาย ช่วยกันประชาสัมพันธ์ความรู้ และจัดให้มีระบบการเฝ้าระวัง จัดทำฐานข้อมูลผลการดำเนินการกับผู้กระทำความผิดตามความรับผิดชอบของแต่ละหน่วยงาน ในเชิงรุก สคบ. ได้จัดตั้งศูนย์เฝ้าระวังคุ้มครองผู้บริโภค เพื่อทำการตรวจสอบสินค้าและการโฆษณาของผู้ประกอบธุรกิจในสื่อต่าง ๆ ซึ่งพบว่า ทางสื่อวิทยุ โทรทัศน์ และเคเบิ้ลทีวี มีการโฆษณาผลิตภัณฑ์อาหารและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่อาจเป็นการอวดอ้างสรรพคุณที่เป็นเท็จเกินจริง 70-80% และได้ส่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการแล้ว