ธปท.คาดจีดีพีไทยปีนี้ขยายตัว 4% ชี้ปัจจัยต่างประเทศและเสถียรภาพระบบการเงินยังมีปัจจัยเสี่ยง-จับตาต่างชาติซื้ออาคารชุด-สหกรณ์ออมทรัพย์ปล่อยกู้ภายในและกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ใช้เงินกู้มากขึ้น ทั้งสินเชื่อแบงก์-ตลาดทุนซับซ้อนเชื่อมโยงประเมินความเสี่ยงยากขึ้น
[caption id="attachment_372786" align="aligncenter" width="503"]
นายวิรไท สันติประภพ[/caption]
นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยในการประชุมนักวิเคราะห์เพื่อสรุปแนวโน้มเศรษฐกิจและนโยบายการเงินรายไตรมาสว่า ในปีนี้ ธปท.ประเมินว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ(จีดีพี) ของไทยจะขยายตัวได้ประมาณ 4% โดยมีปัจจัยเสี่ยงจากด้านต่างประเทศที่ต้องติดตามเช่น ทั้งผลกระทบของมาตรการกีดกันทางการค้าระหว่างสหรัฐ-จีนที่อาจมีมากกว่าคาด หรือการขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าที่อาจต่ำกว่าประเมินไว้ จากกรณีBrevityที่สหราชอาณาจักรอาจออกสภาพยุโรปโดยไม่มีข้อตกลง รวมถึงความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์
“ในระยะข้างหน้ายอมรับว่า เศรษฐกิจโลกชะลอลงจากที่ผ่านมา และยังมีปัจจัยเสี่ยงหลายรูปแบบ แม้มองว่า จีดีพียังขยายตัวสอดคล้องกับศักยภาพ แต่ก็มีความเสี่ยงด้านต่ำที่เพิ่มมากขึ้น โดยมีเครื่องมือต่างๆที่พร้อมใช้ในการดูแลระบบเศรษฐกิจได้"
ส่วนอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำกว่ากรอบเป้าหมายนั้น ปัจจุบันหากดูพัฒนาการจะพบว่า เงินเฟ้อมีความยืดหยุ่นมากขึ้น และสถานการณ์ในปัจจุบันระยะเวลาที่เงินเฟ้อจะเข้ากรอบเป้าหมายนั้นยาวขึ้น เนื่องจาก การพัฒนาในเรื่องเทคโนโลยีที่ส่งผลกระทบต่อทุกประเภทสินค้าไม่เฉพาะสินค้าไอทีที่ถูกลงเท่านั้นแต่รวมเรื่อง ราคาพลังงานดังนั้นเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำกว่ากรอบเป้าหมายจึงไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวล
ด้านนายทิตนันทิ์ มัลลิกะมาส ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธปท. กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในภาพรวมมีแนวโน้มขยายตัวประมาณ4%ต่อเนื่องแม้จะชะลอลงจากปีก่อน โดยการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวจากปัจจัยหนุนของรายได้นอกภาคเกษตรที่ปรับตัวดีและกระจายตัวมากขึ้น และโครงการสวัสดิการแห่งรัฐแต่ยังมีหนี้ครัวเรือนกดดันในระยะต่อไปส่วนการลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัว จากการเพิ่มประสิทธิภาพและขยายกำลังการผลิตการย้ายฐานการผลิตจากจีนมาไทยรวมถึงปัจจัย สนับสนุนจากโครงการ PPP การใช้จ่ายภาครัฐหนึ่งขยายตัวชะลอลง การส่งออกสินค้าชะลอลงทั้งมูลค่าและปริมาณจากผลกระทบของมาตรการกีดกันทางการค้า โดยคาดว่าปีนี้มูลค่าส่งออกจะขยายตัว 3.8% จากปีก่อนจะขยายตัว 7%โดยการท่องเที่ยวเริ่มมีสัญญาณดีขึ้นจากที่ขยายตัวชะลอลงตามจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลง
ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปีนี้ คาดว่าจะขยายตัวได้ที่ 1% โดยอาจต่ำกว่าที่ประเมินไว้ จากความเสี่ยงเศรษฐกิจและราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นสำหรับ เงินเฟ้อพื้นฐานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นช้าๆ
ขณะที่ด้านเสถียรภาพทางการเงินยังอยู่ในเกณฑ์ดี แต่ต้องติดตามความเสี่ยงบางจุดซึ่งประเมินความเสี่ยงต่ำเกินจริง ปัญหาปล่อยกู้ภายในของสหกรณ์ออมทรัพย์และกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ลงทุนต่างประเทศมีการกู้มากขึ้นทั้งสินเชื่อในสถาบันการเงินและการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ซึ่งมีความเชื่อมโยงโครงสร้างที่ซับซ้อนประเมินความเสี่ยงยาก และการแข่งขันปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยสะท้อนอัตราส่วนสินเชื่อต่อรายได้หรือLTIยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นส่วนหนึ่งสถาบันการเงินปล่อยกู้ผู้มีรายได้น้อยด้วยและต่างชาติเข้ามามีบทบาทอาคารชุดโดยเฉพาะปี2560และไตรมาส3ของปี2561มูลค่าซื้อ68,000ล้านบาทสัดส่วนการโอนกว่า30%ของการโอนอาคารชุดซึ่งเป็นจุดที่ต้องติดตาม เพราะถ้าเศรษฐกิจโลกมีปัญหาจะมีผลกระทบต่อไป
อย่างไรก็ตามหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูงประกอบกับไตรมาส3ปีก่อนสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยยังอยู่ในระดับสูง3.4%โดยดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำนานทำให้เกิดพฤติกรรมก่อหนี้สูงขึ้นเช่นสินเชื่อรถยนต์ขยายตัวเร่งขึ้น13%วินเชื่อส่วนบุคคล10% เหล่านี้ต้องติดตามความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือนบางกลุ่ม
[caption id="attachment_372206" align="aligncenter" width="335"]
[/caption]