Play
ส่งออก พ.ย. กลับมาติดลบ! จับตาทั้งปีส่อวืดเป้าโต 8%
Thansettakij เว็บไซต์ข่าวฐานเศรษฐกิจ ผนวกไลฟ์สไตล์ Start up SMEs อสังหาริมทรัพย์ การเงิน การลงทุน การตลาด เศรษฐกิจ เทคโนโลยี Breaking News อัพเดตข่าวล่าสุดที่นี่
ส่งออกไทยเดือน พ.ย. กลับมาติดลบ 0.95% พาณิชย์ชี้! ผลกระทบสงครามการค้าที่ไทยเป็นห่วงโซ่อุปทาน ลุ้นทั้งปียังโต 8%
นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการ สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เผยถึงตัวเลขการส่งออกของไทยในเดือนพฤศจิกายน 2561 ว่า กลับมาหดตัว หรือขยายตัวลดลง 0.95% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีมูลค่าส่งออก 21,237 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยส่วนหนึ่งเป็นผลจากฐานตัวเลขส่งออกที่สูงในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และผลกระทบทางอ้อมจากข้อพิพาททางการค้าสหรัฐฯ-จีน ที่ไทยอยู่ในห่วงโซ่อุปทาน ในขณะที่การนำเข้าในเดือนพฤศจิกายนขยายตัว 14.7% โดยมีมูลค่า 22,415 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้ไทยขาดดุลการค้าในเดือนพฤศจิกายน 1,178 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่การส่งออกในภาพรวมรวม 11 เดือนแรก (ม.ค. - พ.ย. 2561) มีมูลค่า 232,725 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัวที่ 7.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนการนำเข้า มีมูลค่า 231,344 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัวที่ 14.8% ส่งผลให้ไทยยังเกินดุลการค้า 1,381 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ทั้งนี้ หากการส่งออกในเดือนสุดท้าย (ธ.ค.) มีมูลค่าอยู่ที่ 22,840 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จะทำให้การส่งออกทั้งปีขยายตัวได้ 8% ตามเป้าหมาย แต่หากส่งออกได้ที่ระดับ 21,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ การส่งออกทั้งปีจะขยายตัวที่ 7.5% อย่างไรก็ดี การส่งออกในเดือนพฤศจิกายนหดตัวเป็นครั้งที่ 2 หลังจากเดือนกันยายนหดตัวครั้งแรก (-5.2%) ซึ่งภาพรวมช่วง 11 เดือนแรกปีนี้ การส่งออกของไทยไปจีนและสหรัฐฯซึ่งเป็นคู่สงครามการค้ายังขยายตัว โดยการส่งออกไปจีนยังขยายตัวที่ 2.4% และการส่งออกไปสหรัฐฯ ขยายตัวที่ 5.8% ขณะที่การส่งออกในตลาดสำคัญ อย่าง ญี่ปุ่น CLMV ยังขยายตัวได้ดี (ขยายตัว 14% และ 19% ตามลำดับ)
สำหรับการส่งออกในเดือนพฤศจิกายน ในกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรขยายตัวลดลง 8.4% โดยสินค้าที่ส่งออกลดลง เช่น ยางพารา น้ำตาลทราย ส่วนสินค้าที่ส่งออกขยายตัว ได้แก่ เครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ทูน่ากระป๋อง ขณะที่สินค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมขยายตัวลดลง 0.4% โดยสินค้าที่ส่งออกลดลง เช่น รถยนต์และอุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องโทรสาร โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ส่วนสินค้าที่ส่งออกขยายตัว เช่น สินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ เป็นต้น
"การส่งออกในปีนี้ยังต้องผลักดันให้เป็นไปได้ตามเป้าหมาย 8% ส่วนปี 2562 สิ่งที่ต้องติดตาม คือ สงครามการค้า เพราะเห็นได้จากตอนนี้หลายประเทศมีการเร่งเจรจาการค้าระหว่างกันมากขึ้นในการลดภาษีสินค้า เพื่อทดแทนการส่งออกที่หายไปจากปัญหาดังกล่าว ดังนั้นจากสถานการณ์ในปี 2562 ที่ประเทศไทยเข้าสู่การเลือกตั้งและจะได้รัฐบาลใหม่และจะมีการเดินหน้าเจรจาการค้า เช่น ในกรอบ RCEP (อาเซียน+6)จึงเป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญ พร้อมกับการกำหนดนโยบายการค้าและเล็งการทำตลาดในจีน-อินเดียรายเมือง เชื่อว่าโอกาสทางการค้าของไทยยังมีอีกมาก"
นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการ สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เผยถึงตัวเลขการส่งออกของไทยในเดือนพฤศจิกายน 2561 ว่า กลับมาหดตัว หรือขยายตัวลดลง 0.95% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีมูลค่าส่งออก 21,237 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยส่วนหนึ่งเป็นผลจากฐานตัวเลขส่งออกที่สูงในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และผลกระทบทางอ้อมจากข้อพิพาททางการค้าสหรัฐฯ-จีน ที่ไทยอยู่ในห่วงโซ่อุปทาน ในขณะที่การนำเข้าในเดือนพฤศจิกายนขยายตัว 14.7% โดยมีมูลค่า 22,415 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้ไทยขาดดุลการค้าในเดือนพฤศจิกายน 1,178 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่การส่งออกในภาพรวมรวม 11 เดือนแรก (ม.ค. - พ.ย. 2561) มีมูลค่า 232,725 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัวที่ 7.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนการนำเข้า มีมูลค่า 231,344 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัวที่ 14.8% ส่งผลให้ไทยยังเกินดุลการค้า 1,381 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ทั้งนี้ หากการส่งออกในเดือนสุดท้าย (ธ.ค.) มีมูลค่าอยู่ที่ 22,840 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จะทำให้การส่งออกทั้งปีขยายตัวได้ 8% ตามเป้าหมาย แต่หากส่งออกได้ที่ระดับ 21,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ การส่งออกทั้งปีจะขยายตัวที่ 7.5% อย่างไรก็ดี การส่งออกในเดือนพฤศจิกายนหดตัวเป็นครั้งที่ 2 หลังจากเดือนกันยายนหดตัวครั้งแรก (-5.2%) ซึ่งภาพรวมช่วง 11 เดือนแรกปีนี้ การส่งออกของไทยไปจีนและสหรัฐฯซึ่งเป็นคู่สงครามการค้ายังขยายตัว โดยการส่งออกไปจีนยังขยายตัวที่ 2.4% และการส่งออกไปสหรัฐฯ ขยายตัวที่ 5.8% ขณะที่การส่งออกในตลาดสำคัญ อย่าง ญี่ปุ่น CLMV ยังขยายตัวได้ดี (ขยายตัว 14% และ 19% ตามลำดับ)
สำหรับการส่งออกในเดือนพฤศจิกายน ในกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรขยายตัวลดลง 8.4% โดยสินค้าที่ส่งออกลดลง เช่น ยางพารา น้ำตาลทราย ส่วนสินค้าที่ส่งออกขยายตัว ได้แก่ เครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ทูน่ากระป๋อง ขณะที่สินค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมขยายตัวลดลง 0.4% โดยสินค้าที่ส่งออกลดลง เช่น รถยนต์และอุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องโทรสาร โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ส่วนสินค้าที่ส่งออกขยายตัว เช่น สินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ เป็นต้น
"การส่งออกในปีนี้ยังต้องผลักดันให้เป็นไปได้ตามเป้าหมาย 8% ส่วนปี 2562 สิ่งที่ต้องติดตาม คือ สงครามการค้า เพราะเห็นได้จากตอนนี้หลายประเทศมีการเร่งเจรจาการค้าระหว่างกันมากขึ้นในการลดภาษีสินค้า เพื่อทดแทนการส่งออกที่หายไปจากปัญหาดังกล่าว ดังนั้นจากสถานการณ์ในปี 2562 ที่ประเทศไทยเข้าสู่การเลือกตั้งและจะได้รัฐบาลใหม่และจะมีการเดินหน้าเจรจาการค้า เช่น ในกรอบ RCEP (อาเซียน+6)จึงเป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญ พร้อมกับการกำหนดนโยบายการค้าและเล็งการทำตลาดในจีน-อินเดียรายเมือง เชื่อว่าโอกาสทางการค้าของไทยยังมีอีกมาก"
