ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่ำสุดรอบ 6 เดือน ลุ้นเงินสะพัดช็อปช่วยชาติ-บัตรคนจน 1.3 หมื่นล้าน ดันจีดีพีเพิ่ม 0.3%
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน พ.ย. 61 อยู่ที่ 80.5 ต่ำสุดในรอบ 6 เดือนนับตั้งแต่เดือน พ.ค. 61 และเป็นการปรับลดลงต่อเนื่องเป็นเดือน ที่ 3 ติดต่อกัน เนื่องจากความกังวลปัญหานักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาไทยน้อยลงกว่าปกติ ส่งผลต่อรายได้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและธุรกิจเกี่ยวเนื่องขยายตัวน้อยกว่าที่ควรจะเป็น, สถานการณ์สงครามการค้าโลกระหว่างสหรัฐและจีน ที่อาจส่งผลต่อการส่งออกและเศรษฐกิจไทยในอนาคต และราคาสินค้าเกษตรยังคงตกต่ำ โดยเฉพาะราคายางพารา และปาล์มน้ำมัน แม้ราคาสินค้าเกษตรบางรายการจะปรับตัวสูงขึ้น เช่น ข้าวเปลือก ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และมันสำปะหลัง แต่ราคาก็ไม่ได้ดีเท่าหลายปีก่อนหน้า
“การสำรวจรอบนี้ไม่ได้รวมการที่สหรัฐและจีนได้เจรจาพักรบสงครามการค้าเป็นเวลา 90 วัน รวมทั้งตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนเริ่มหยุดการทรุดตัว มาตรการที่รัฐบาลกำลังแก้ไขปัญหาราคายางพารา และปาล์มน้ำมันให้เกษตรกร และราคาน้ำมันดิบที่เริ่มปรับลดลง ทำให้แรงกดดันค่าครองชีพเริ่มคลายตัว เป็นต้น อย่างไรก็ตามในภาพรวมกำลังซื้อก็จะยังกระจุกตัวแค่บางกลุ่ม ทำให้คนยังมองเศรษฐกิจไม่ดีอยู่ เพราะหากดูจากอัตราเงินเฟ้อเดือนพ.ย.ที่ขยายตัวไม่ถึง 1% และเงินเฟ้อพื้นฐานโตแค่ 0.7%”
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มดัชนีความเชื่อมั่นในเดือนธ.ค.น่าจะปรับตัวดีขึ้น หลังจาก รัฐบาลยังได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปีจากมาตรการช็อปช่วยชาติที่ให้ลดหย่อนภาษีในสินค้า 3 กลุ่ม คือ หนังสือ ยางรถยนต์ และสินค้าโอท็อป คาดว่าจะมีเม็ดเงินสะพัดจากการลดหย่อนภาษีรวม 10,000ล้านบาท รวมกับการเติมเงินผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยอีกประมาณ 2,000-3,000 ล้านบาท (รวมกับยอดเงินในบัตรเดิม) จะทำให้มีเม็ดเงินสะพัดช่วงเทศกาลปีใหม่ประมาณ 12,000-13,000 ล้านบาท ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) เพิ่มขึ้น 0.2-0.3% ทำให้ปีนี้จีดีพีเติบโตได้ประมาณ 4.2%
นอกจากนี้ยังมีข่าวดีที่ผู้บริโภครับทราบข่าวการเจรจาระหว่างสหรัฐและจีนที่มีท่าทีผ่อนคลายลง และจำนวนนักท่องเที่ยวจีนมาไทยหยุดการทรุดตัว และอาจจะมีแนวโน้มเดินทางมามากขึ้นจากมาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่า สำหรับมุมมองเศรษฐกิจไทยปี 62 ทางศูนย์พยากรณ์ฯยังมองเศรษฐกิจไทยขยายตัว 4-4.5% โดยการส่งออกขยายตัว 4-6% และอัตราเงินเฟ้อ 1.2-1.7% ซึ่งการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยขึ้นอยู่กับผลของสงครามการค้าเป็นหลัก หากสหรัฐและจีนสามารถเจรจาภายใน 90 วันแล้วได้ข้อยุติ มีการลดภาษีสินค้าระหว่างกันลง รวมถึงราคาน้ำมันดิบไม่ได้ปรับตัวสูงขึ้นเกินไป และไม่มีผลกระทบจากการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรปในเครือสหราชอาณาจักร (เบร็กซิก) เชื่อว่าเศรษฐกิจในปีหน้าขยายตัวได้ 4.3-4.5% แต่หากการเจรจาระหว่างสหรัฐและจีนยืดเยื้อจีดีพีปีหน้าอาจขยายตัวได้เพียง 4-4.2% หรือกรณีเลวร้ายสุดหากเจรจาไม่ได้ข้อยุติและมีการขึ้นภาษีรอบใหม่เศรษฐกิจอาจต่ำกว่า 4%