คอลัมน์ เทรดวอตช์ ดร.ชโยดม สรรพศรี คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
วันนี้จะมาเล่าเรื่องที่ฟังดูแล้วน่าหวาดเสียว เพราะเกี่ยวกับเครื่องประหารชีวิตที่เรียกว่า “กิโยติน” เชื่อว่าหลายคนคงจะรู้จักดีเพราะเป็นเครื่องประหารของชาวยุโรปที่ใช้ตัดหัวศัตรูหรือนักโทษโดยมีใบมีดอันแหลมคมไหลตั้งฉากลงมาจากราง ตัดจนหัวขาดกระเด็น
เครื่องมือดังกล่าวถูกนำมาตั้งชื่อวิธีการวิเคราะห์ ทบทวน กฎหมาย การอนุญาตของรัฐ ที่เรียกว่า “Regulatory Guillotine” เครื่องมือการวิเคราะห์นี้ชาวอเมริกันเป็นคนคิดขึ้นมา และได้ถูกใช้ในการวิเคราะห์ทบทวนกฎหมายที่ไม่จำเป็นมาแล้วในหลายประเทศ เครื่องมือดังกล่าวมีหลักคิดเชิงวิทยาศาสตร์ มีหลักการในการวิเคราะห์ และสามารถใช้ยกเลิกกฎหมาย หรือการอนุญาตได้ทีละมากๆ จึงถูกสมญานามว่าเป็นเครื่องมือประหารหมู่
ยกตัวอย่างเช่น เกาหลี และเวียดนาม ในกรณีของเกาหลีนั้นมีกฎหมาย ระเบียบทางราชการอยู่ 11,125 รายการ รัฐบาลเกาหลีพร้อมกับที่ปรึกษาเจ้าของเครื่องมือดังกล่าวใช้เวลา 11 เดือน เพื่อยกเลิกกฎหมายดังกล่าวไปถึง 49% ส่วนที่เหลืออีก 22% ถูกนำมาปรับปรุง เปลี่ยนแปลงใหม่ เวียดนามใช้ระยะเวลา 2 ปี ในการจัดการทบทวนกระบวนงานทางกฎหมาย 5,500 กระบวนงาน สามารถปรับปรุงกระบวนงานได้ 77% ไม่รวมกับที่ยกเลิกการบังคับใช้ไปอีก 9% ทั้ง 2 ประเทศดังกล่าวได้เริ่มการทบทวนและปรับปรุง เปลี่ยน แปลง กฎระเบียบของราชการมาเป็นระยะเวลานาน เกาหลีนั้นทำมากว่า10 ปีแล้วในขณะที่เวียดนามเริ่มต้นเมื่อประมาณ 5 ปีที่ผ่านมา ผลดีคือการประหยัดทั้งต้นทุนทางการเงินและการประหยัดเวลาในการติดต่อราชการ อีกทั้งภาคราชการเองก็มีประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น ซึ่งเป็นที่พิสูจน์แล้วเชิงประจักษ์จากทั้ง 2 ประเทศ และมีอีกมากกว่า 10 ประเทศใช้เครื่องมือเดียวกันในการเพิ่มประสิทธิภาพภาครัฐ
การควบคุม กำกับดูแล โดยภาครัฐนั้นในระบบราชการจะใช้การอนุมัติ หรือการอนุญาตเป็นเครื่องมือในการจัดระเบียบสังคมและเศรษฐกิจ ให้มีความเป็นอยู่อย่างเป็นธรรม ไม่ละเมิดสิทธิผู้อื่น อีกทั้งรัฐสามารถที่จะตรวจสอบได้ อย่างไรก็ตามเมื่อโลกมีการเปลี่ยนแปลง ทั้งทางโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการแข่งขันระหว่างประเทศที่มีความเข้มข้นมากขึ้น และเกิดจากการเปลี่ยนแปลงพัฒนาทางเทคโนโลยี และเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือกล่าวได้ว่าระบบเศรษฐกิจแบบดิจิตอล ระบบการอนุมัติ การอนุญาต หากตามโลกไม่ทันก็จะกลายเป็นต้นทุนของประชาชนและธุรกิจ
ประเทศไทยจึงมีความจำเป็นที่จะต้องทบทวนการอนุญาต ตามมาตราที่ 77 ของรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่กำหนดว่า รัฐเพิ่งจัดให้มีกฎหมายเพียงเท่าที่จำเป็น และยกเลิกหรือปรับปรุงกฎหมายที่หมดความจำเป็น หรือไม่สอดคล้องกับสภาพการณ์ หรือที่เป็นอุปสรรคต่อการดำรงชีวิต หรือการประกอบอาชีพ เพื่อไม่ให้เป็นภาระแก่ประชาชน และดำเนินการให้ประชาชนเข้าถึงตัวบทกฎหมายต่างๆได้โดยสะดวก และสามารถเข้าใจกฎหมายได้โดยง่าย เพื่อปฏิบัติตามกฎหมายได้อย่างถูกต้อง
ทั้งนี้ท่านลองคิดดูว่ากระบวนการอนุญาตนั้นที่เกี่ยวกับคำว่าอนุญาตจะต้องผ่านขั้นตอนถึง 9 ขั้นตอน ซึ่งทั้ง 9 ขั้นตอนนี้เล่าสู่กันฟังโดยท่านรองนายกรัฐมนตรี ดร.วิษณุ เครืองาม ในการขออนุญาตหมายถึงจะต้องมีการกรอกแบบฟอร์มหรือแม้กระทั่งต้องไปแสดงตัวด้วยตัวเอง แต่ในปัจจุบันโลกมีการเปลี่ยนแปลงการกรอกแบบฟอร์มสามารถกรอกทางอินเตอร์เน็ต การอนุญาตนั้นจะต้องขอภายในระยะเวลาที่กำหนด หากล่วงเลยไปแล้วก็จะไม่ได้รับการอนุญาต การขออนุญาตจะต้องนำเอกสารหลักฐานสารพัดไปแสดงเพื่อยืนยันคุณสมบัติ ซึ่งบางครั้งเอกสารหลักฐานเหล่านั้น อาจจะไม่จำเป็นต่อไปในปัจจุบัน ขั้นตอนในการอนุญาตบางครั้งขาดความชัดเจน ซึ่งขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้อนุญาต เมื่อได้รับการอนุญาตก็จะต้องได้รับใบอนุญาตซึ่งจะต้องติดใบอนุญาตให้เห็นเป็นประจักษ์ในสถานที่ต่างๆ การขอใบอนุญาตนั้นยังจะต้องเสียค่าธรรมเนียม ซึ่งบ่อยครั้งก็มีข้อสงสัยว่าอัตราค่าธรรมเนียมเหล่านั้นมีความเป็นธรรมหรือไม่ ใบอนุญาตทุกใบย่อมมีอายุเมื่อถึงเวลาต้องต่ออายุ ในการต่ออายุนั้นก็จะต้องเริ่มกระบวนการใหม่ทั้งหมดแม้กระทั่งเกี่ยวกับหลักฐานเดิมๆ ก็ต้องนำมายื่นใหม่ทั้งที่เคยยื่นไปแล้ว ในกรณีหากไม่ได้รับการอนุญาต ต้องเข้าสู่กระบวนการอุทธรณ์ ซึ่งก็มีกระบวนการที่ซับซ้อนเช่นกันและการขออนุญาตเรื่องเดียวแต่ต้องขอใบอนุญาตหลายใบ สำหรับกิจการหนึ่งๆ ใบอนุญาตหลายใบนั้นอยู่ต่างกรมในกระทรวงเดียว หรืออยู่ต่างกระทรวง ทำให้เป็นต้นทุนที่สูงสำหรับผู้ประกอบธุรกิจ
หลักการของเครื่องมือประหารกิโยติน มีหลักการทางกฎหมายคร่าว ๆ ดังนี้ ใบอนุญาตนั้นมีอำนาจทางกฎหมายรองรับหรือไม่ถ้าไม่มีสามารถยกเลิกได้เลย การอนุญาตบางครั้งมีการแก้ไขกฎหมายที่ให้อำนาจ บางกฎหมายนั้นอาจจะมีอยู่แต่อาจจะมีกฎหมายอื่นเขียนซ้อน หรือมีข้อยกเว้น จึงต้องมาดูว่ากฎหมายที่รองรับใบอนุญาตนั้นได้ถูกยกเลิกไปหรือยัง ส่วนใบอนุญาตที่เกี่ยวข้องกับต่างประเทศนั้น ต้องดูว่าขัดกับกติกานานาชาติหรือไม่ ยกตัวอย่าง เช่น ขัดกับพันธกรณีของไทยที่ตกลงไว้ในฐานะที่ไทยเป็นสมาชิกองค์กรการค้าโลกหรือไม่
นอกจากนี้เครื่องประหารดังกล่าวยังมีหลักการเชิงเศรษฐศาสตร์กล่าวคือ การอนุญาตดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนและเหมาะสมหรือไม่วัตถุประสงค์นั้นสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันหรือไม่เพราะการอนุญาตบางเรื่องมีมาเป็น 100 ปีแล้ว และการบังคับใช้มีประสิทธิผลตามวัตถุประสงค์หลักหรือไม่ และการอนุญาตดังกล่าวก่อให้เกิดภาระหรือต้นทุนมากหรือน้อยเพียงใด จนเป็นอุปสรรคแก่ประชาชนและภาคธุรกิจหรือไม่
การค้าและการลงทุนระหว่างประเทศเป็นประเด็นที่สำคัญ ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยทั้งนี้ยังรวมถึง การเคลื่อนย้ายเงินทุน และแรงงานที่มีทักษะและไม่มีทักษะ ด้วยการทำให้กฎระเบียบมีความคล่องตัวมากขึ้นก็จะเอื้อให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก นอกจากนี้การทบทวนการอนุญาตยังรวมถึงการทำธุรกรรมอื่น ๆ ภายในประเทศ เป็นข่าวดีที่ว่าในปัจจุบันรัฐบาลไทยเริ่มดำเนินโครงการ
ทบทวนกฎหมายกฎระเบียบการอนุญาตดังกล่าวแล้ว แม้ว่าจะล่าช้ากว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียด้วยกัน แต่ก็เป็นนิมิตที่ดีว่า เราได้เริ่มดำเนินการแล้ว ซึ่งผลของการจัดการดังกล่าวจะนำไปสู่การยกเลิกกฎหมาย กฎระเบียบ ข้อบังคับ กระบวนงาน หรือการปรับปรุงกฎหมาย หรือการควบรวมกฎหมายบางส่วน หรือการยกร่างขึ้นมาใหม่ ในกรณีที่จำเป็นให้เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมของโลก
ผมขอฝากโครงการ Regulatory Guillotine นี้ไว้ เพื่อนำไปสู่การอนุญาตของไทยที่สะดวกต่อการเข้าใจและดำเนินการได้อย่างคล่องตัว หรือที่เรียกว่า Thailand’s Simple and Smart License หากใครสนใจสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก www.sslicense.go.th
หน้า 8 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับที่ 3,423 วันที่ 2 - 5 ธันวาคม 2561