กูรู ตั้งโต๊ะเสวนา ‘ชี้ชะตาทีวีดาวเทียมอยู่หรือตาย’

28 ก.พ. 2559 | 03:00 น.
อัปเดตล่าสุด :28 ก.พ. 2559 | 09:21 น.
ธุรกิจสื่อในประเทศไทยเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในระยะเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้สื่อกลุ่มต่างๆ ต้องปรับตัวและแข่งขันกันอย่างรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะอุตสาหกรรมสื่อทีวี ที่ขณะนี้แข่งขันกันอย่างดุเดือด เนื่องจากมีช่องทีวีดิจิตอลเกิดเพิ่มขึ้นทันที 24 ช่อง และเพียงระยะเวลาแค่ปีเศษ กลุ่มธุรกิจทีวีดาวเทียมก็ทยอยปิดกิจการไปแล้วกว่า100 ราย

ล่าสุดเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาสมาคมโทรทัศน์ดาวเทียม(ประเทศไทย) และชมรมผู้ประกอบการโครงข่ายโทรทัศน์ดาวเทียม และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายต้องเร่งหาแนวทางแก้ปัญหาพร้อมหาทางออกร่วมกัน ด้วยการระดมสมอง เปิดรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอของผู้ประกอบการกิจการโทรทัศน์ดาวเทียมในงานเสวนาเวทีโต๊ะกลม เรื่อง "ชี้ชะตาทีวีดาวเทียมอยู่หรือตาย”

[caption id="attachment_34210" align="aligncenter" width="384"] ดร.นิพนธ์ นาคสมภพ  นายกสมาคมโทรทัศน์ดาวเทียม (ประเทศไทย) ดร.นิพนธ์ นาคสมภพ
นายกสมาคมโทรทัศน์ดาวเทียม (ประเทศไทย)[/caption]

  สาง 2 ปัญหาใหญ่ทีวีดาวเทียม

ดร.นิพนธ์ นาคสมภพ นายกสมาคมโทรทัศน์ดาวเทียม (ประเทศไทย) ได้เผยว่า ที่ผ่านมาสมาคมโทรทัศน์ดาวเทียม (ประเทศไทย) และชมรมผู้ประกอบการโครงข่ายโทรทัศน์ดาวเทียมได้ประชุมปรึกษาหารือถึงผลกระทบอย่างรุนแรงตลอดมาตั้งแต่ปี 2556 จนเป็นผลให้ผู้ประกอบกิจการโทรทัศน์ดาวเทียมกว่า 100 ช่องต้องปิดกิจการ ดังนั้นสมาคมจึงมีข้อสรุปให้เปิดเสวนาเวทีโต๊ะกลมร่วมกัน โดยเชิญผู้ประกอบกิจการโทรทัศน์ดาวเทียมทุกช่องรายการเข้าร่วมหารือในวงกว้าง ระดับเจ้าของกิจการหรือผู้บริหารช่องรายการ เพื่อให้ทุกฝ่ายเห็นปัญหาและหาทางออกร่วมกัน

ปัญหาของทีวีดาวเทียมที่พบในปัจจุบันคือ การต่อใบอนุญาตที่สามารถต่อได้เพียงปีต่อปีเท่านั้น และหากผู้ประกอบการสถานีโทรทัศน์ช่องใดปฏิบัติตามกฎของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) จะสามารถได้ใบอนุญาต 5 ปี ซึ่งมุมมองสมาคมนับว่าน้อยไป อีกปัญหาที่พบคือ ปัญหาเงินลงทุนของผู้ประกอบกิจการในธุรกิจนี้ที่ขาดสภาพคล่องทางการเงิน ส่งผลให้ปิดกิจการไปจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม สมาคมเชื่อว่าหากผู้ประกอบการสามารถพยุงธุรกิจนี้ให้อยู่รอดได้ต่อไปอีกสักระยะ ภายในปี 2561 อุตสาหกรรมทีวีดาวเทียมน่าจะกลับมารุ่งเรืองอีกครั้งเช่นเดียวกับในปี 2555

 ไทยคมหวั่นล้มทั้งระบบ

นายเอกชัย ภัคดุรงค์ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการอาวุโส ส่วนงานกิจการองค์กร บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจุบันทีวีดาวเทียมมีจุดแข็งทางธุรกิจค่อนข้างมากและยังมีข้อได้เปรียบอยู่ ซึ่งหากวัดสัดส่วนกลุ่มผู้ชมโทรทัศน์ในประเทศไทยทั้งหมดมีจำนวน 24.5 ล้านครัวเรือน แบ่งเป็นผู้ชมทีวีดาวเทียม 15 ล้านครัวเรือน และเคเบิ้ล 2.75 ล้านครัวเรือน รวมเป็น 17.75 ล้านครัวเรือน อีกทั้งยังมีคอนเทนต์ทั้งในและต่างประเทศที่มีอยู่ในมืออีกจำนวนมาก

“จุดแข็งของทีวีดาวเทียมในวันนี้ คือ เรื่องของเทคโนโลยี และ ต้นทุนการทำช่องโทรทัศน์ที่มีข้อได้เปรียบกว่าช่องทีวีดิจิตอลอยู่มาก เมื่อเปรียบเทียบเรื่องของเทคโนโลยีระหว่างช่องทีวีดิจิตอลและช่องทีวีดาวเทียมสูงสุดของช่องทีวีดิจิตอลจะสามารถทำได้เพียง HD เท่านั้น ขณะที่ทีวีดาวเทียมสามารถพัฒนาระบบโครงข่ายดาวเทียมเป็น Super HD ได้ อีกทั้งในเรื่องของต้นทุนการจัดผังรายการระหว่างทีวีดิจิตอลและทีวีดาวเทียมค่อนข้างมีความแตกต่างอย่างมาก เนื่องจากบางช่องที่อยู่ในหมวดหมู่ทีวีดิจิตอล HD จะมีต้นทุนการผลิตต่างๆ เดือนละกว่า 200 ล้านบาท ขณะที่ทีวีดาวเทียมใช้เพียง 10 ล้านบาทเท่านั้น ประกอบกับโครงข่ายทีวีดาวเทียมที่ครอบคลุมไปทั่วประเทศแล้วเกือบ 100% ดังนั้นในมุมมองส่วนตัวเชื่อว่าธุรกิจนี้ยังมีจุดแข็งอีกมาก

อย่างไรก็ดี แม้อุตสาหกรรมทีวีวันนี้อาจจะติดขัดเรื่องกฎหมาย หรือข้อบังคับของกสทช.แต่หากมองในภาพรวมต้องพิจารณาว่าเกิดจากอะไร ภาพลักษณ์ไม่ดีใช่หรือไม่ โฆษณาถูกกฎหมายหรือไม่ ซึ่งหากจะแก้ปัญหาเรื่องนี้ต้องแก้ทั้งระบบนิเวศของอุตสาหกรรมทีวีทุกฝ่ายต้องช่วยกัน หากช่องโทรทัศน์อยู่ไม่ได้ โครงข่ายดาวเทียมก็อยู่ไม่ได้ และรวมถึงไทยคมเองก็อยู่ไม่ได้เช่นกัน ซึ่งจะส่งผลให้ล้มทั้งระบบ

  ทีวีไดเร็ค ชี้เจาะเซ็กเมนต์

ด้านนายพงศ์ชัย ชัญมาตรกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายขายผ่านโทรทัศน์ บริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด (มหาชน) กล่าวแสดงความคิดเห็นว่า ทีวีไดเร็คในอดีตเป็นลูกค้ากับช่องทีวีดาวเทียมจำนวนหลาย 10 ช่อง แต่ปัจจุบันเหลือไม่ถึง 10 ช่อง และหันไปจ่ายเงินกับช่องทีวีดิจิตอลแทน ซึ่งการลดลงดังกล่าวแสดงถึงสิ่งที่น่ากังวลสำหรับอุตสาหกรรมนี้ ส่วนตัวมองว่าเสน่ห์ของทีวีดาวเทียมในอดีตได้หายไปนั่นคือ ความเป็นทีวีเฉพาะกลุ่ม หรือเซกเมนต์ ขณะเดียวกันในวันนี้ผู้ประกอบการทีวีดาวเทียมส่วนใหญ่ยังไม่รู้กลุ่มเป้าหมายของตัวเองชัดเจน ว่าลูกค้าต้องการอะไร อย่างไรบ้าง

“ยกตัวอย่างเช่น ช่องกอล์ฟที่อยู่ในทีวีดาวเทียม ปัจจุบันมีฐานผู้ชมเพียงแค่ 2.5 หมื่นคนแต่ช่องดังกล่าวสามารถทำรายได้จำนวนมากประมาณ 25-30 ล้านบาท นั่นแสดงให้เห็นว่าช่องดังกล่าวมีกลุ่มคนดูเฉพาะที่เป็นฐานแฟนคลับของช่องชัดเจน”

[caption id="attachment_34209" align="aligncenter" width="336"] กนกกาญจน์ ประจงแสงศรี  กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวางแผนกลยุทธ์การลงทุนและการเรียนรู้ บริษัท ไอพีจี มีเดียแบรนด์ส จำกัด กนกกาญจน์ ประจงแสงศรี
กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวางแผนกลยุทธ์การลงทุนและการเรียนรู้ บริษัท ไอพีจี มีเดียแบรนด์ส จำกัด[/caption]

  ไอพีจี แนะต้องเปลี่ยนความคิด

นางสาวกนกกาญจน์ ประจงแสงศรี กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวางแผนกลยุทธ์การลงทุนและการเรียนรู้ บริษัท ไอพีจี มีเดียแบรนด์ส จำกัด กล่าวว่า เอเยนซี่ส่วนใหญ่มองที่กลุ่มเป้าหมายเป็นหลักมากกว่ามาจากแพลตฟอร์มไหน และเรตติ้งไม่ใช่สิ่งสำคัญในการเลือกใช้สื่อ และในวันนี้สิ่งที่ดาวเทียมต้องทำคือการพิจารณาช่องทางสื่อให้หลากหลายมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะโซเชียลมีเดียที่มีอิทธิพลอย่างมากสำหรับผู้ชมในปัจจุบัน

“ดังนั้นในวันนี้ผู้ประกอบการทีวีดาวเทียมทุกฝ่ายต้องปรับตัวและเปลี่ยนความคิดอย่ามองคู่แข่งเป็นเพียงแค่ในอุตสาหกรรมทีวีเท่านั้นแต่ควรมองให้ครอบคลุมมากขึ้น โดยเฉพาะออนไลน์ที่มีอิทธิพลอย่างมากสำหรับคนไทย ขณะเดียวกันควรปรับรูปแบบการขายให้เป็นรูปแบบแพ็กเกจมากขึ้น พร้อมทั้งเพิ่มอายบอลไปยังผู้ชมต่างๆให้ครอบคลุม”

แต่ทั้งนี้สิ่งที่ทีวีดาวเทียมต้องตระหนักให้มากคือ การไม่ทำให้โครงข่ายและช่องสุ่มเสี่ยงกับกฎและข้อบังคับของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เพราะหากเอเยนซี่เห็นว่าช่องทีวีดังกล่าวเข้าข่าย เอเยนซี่จะตัดช่องทางนั้นทันที เนื่องจากเอเยนซี่จะตระหนักถึงภาพลักษณ์ของลูกค้ามาก่อนเสมอ

 ตั้งหน่วยงานกลางกำกับดูแล

ขณะที่นายธาราวุฒิ สืบเชื้อ อุปนายกสมาคมโฆษณาแห่งประเทศไทยกล่าวว่า แนวทางการแก้ไขปัญหาเรื่องการโฆษณาที่เสี่ยงต่อกฎหมาย สมาคมควรตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจขึ้นมาอีก 1 หน่วยงานเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบการโฆษณาประเภทนั้นก่อนจะเผยแพร่สู่สายตาประชาชน เพราะหากอุตสาหกรรมทีวีดาวเทียมยังกระทำความผิดต่อเนื่อง ภาครัฐหน่วยงานต่างๆ ที่ดูแลเรื่องนี้ก็จะทำหน้าที่เข้มงวดและเฝ้าระวังสื่อทีวีดาวเทียมมากขึ้น รวมถึงการออกกฎหมายที่เข้มข้นมากกว่าเดิม

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,135
วันที่ 28 กุมภาพันธ์ - 2 มีนาคม พ.ศ. 2559