“วิงค์ไวท์” สบช่อง ตลาดความงามพ้นวิกฤติสินค้าไร้คุณภาพ เตรียมทุ่ม 100 ล้านบาท ตั้งโรงงาน อัดงบตลาด เปิดตัวสินค้าใหม่ หวังรุกหนักทั้งในและต่างประเทศ วางเป้าสิ้นปีโกยยอดขายไม่ตํ่ากว่า 500 ล้านบาท
นางสาวขวัญชนก ทวนวิจิตร ประธาน บริษัท วิงค์ไวท์ พานาเซีย จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ความงามภายใต้แบรนด์ “วิงค์ไวท์” เปิดเผยว่า ปัจจุบันภาพรวมตลาดผลิตภัณฑ์ความงามเริ่มกลับมาเติบโตอีกครั้งหลังจาก ความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลงในช่วงต้นปีที่ผ่านมาจากปัญหาสินค้าไม่ได้มาตรฐานโดยเฉพาะในตลาดอาหารเสริม ซึ่งในส่วนผลกระทบที่บริษัทได้รับคือ ทำให้ธุรกิจชะลอตัวไประยะหนึ่ง ซึ่งขณะนี้ได้ปรับเข้าสู่สภาวะปกติแล้ว โดยแผนงานนับจากนี้จะให้ความสำคัญกับการทำตลาดออฟไลน์มากขึ้น จากเดิมที่สัดส่วนออนไลน์อยู่ที่ 80% ออฟไลน์ อยู่ที่20% จะปรับสัดส่วนใหม่เป็น 60:40 เนื่องจากการแข่งขันในตลาดออนไลน์มีสูงจนเกินไป โดยจะหันไปให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการขายผ่านกิจกรรม และตัวแทนจำหน่าย ที่มีมากกว่า 1,000 รายทั่วประเทศ และจะยังคงเดินหน้าหาตัวแทนจำหน่าย ที่มีคุณภาพเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังจะเข้ามาช่วยตัวแทนจำหน่ายทำ การตลาดอย่างเข้มข้น
“ต้องยอมรับว่าจากกระแสการตรวจจับอาหารเสริมที่ไม่ได้คุณภาพระบาดเมื่อช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ส่งผลต่อยอดขายในกลุ่มอาหารเสริมของบริษัทพอสมควร ดังนั้นแผนงานในช่วงที่ผ่านมาจึงโฟกัสการทำตลาดไปที่กลุ่มผลิตภัณฑ์สกินแคร์เป็นหลัก”
พร้อมกันนี้ยังได้ใช้งบประมาณกว่า 40 ล้านบาท ในการก่อสร้างโรงงานการผลิตที่ จ.ลพบุรี บนพื้นที่ 4 ไร่ ซึ่งมีกำหนดแล้วเสร็จในสิ้นปีนี้ และพร้อมเดินเครื่อง การผลิตกลางปี 2562 โดยโรงงานดังกล่าวจะใช้สำหรับผลิตสินค้าให้กับบริษัท และใช้ในการรับจ้างผลิตในอนาคต ขณะที่แผนการทำตลาดในปีหน้าบริษัทได้เตรียมใช้งบประมาณการลงทุนกว่า 50 ล้านบาทในการจัดกิจกรรมทางการตลาดในการสื่อสารแบรนด์ทั้งในกลุ่มอาหารเสริมและสกินแคร์อย่างครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ โดยยังคงให้ความสำคัญกับการนำกลยุทธ์พรีเซนเตอร์มาร์เก็ตติ้งมาใช้ในการสื่อสารแบรนด์
“ช่วงที่ผ่านมาบริษัทมีการนำกลยุทธ์ดังกล่าวไปใช้ในการสื่อสารแบรนด์ผ่าน พรีเซนเตอร์อย่าง โป๊ป-ธนวรรธน์ และเบลล่า-ราณี และล่าสุดกับการเปิดตัว เมย์-พิชญ์นาฏ มาใช้ในการสื่อสารแบรนด์ ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี พร้อมกันนี้ยังได้เตรียมเปิดตัวสินค้าใหม่ในกลุ่มสกินแคร์ออกมารุกตลาดอย่างต่อเนื่อง”
นอกจากนี้ยังได้เตรียมขยายตลาดไปยังประเทศในกลุ่มแอฟริกา โดยเฉพาะในประเทศไนจีเรีย เบื้องต้นอยู่ระหว่างการเจรจาร่วมกับพาร์ตเนอร์ในการพัฒนาสินค้าและเข้าไปทำตลาดอย่างจริงจัง พร้อมทั้งขยายตลาดเข้าไปในประเทศกลุ่มอาเซียนให้ครบในอนาคต โดยช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้เข้าไปเปิดบริษัทในประเทศมาเลเซีย และเตรียมขยายไปยังสปป.ลาว เพิ่มเติมอีกด้วย ทั้งนี้ปัจจุบันสัดส่วนตลาดต่างประเทศของบริษัทยัง น้อยเพียง 10% ตลาดในประเทศ 90% โดยในอนาคตประเมินว่าแนวโน้มสัดส่วนตลาดต่างประเทศจะมีสูงขึ้น อย่างไรก็ ตามบริษัทวางเป้าหมายการเติบโตในสิ้นปีนี้ไว้ที่มากกว่า 500 ล้านบาท หลังจากปีที่ผ่าน มาบริษัทสามารถสร้างยอดขายมากกว่า 400 ล้านบาท
...........................................................................................
หน้า 36 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ | ฉบับ 3,406 ระหว่างวันที่ 4-6 ตุลาคม 2561