“เบบี้ กิ๊ฟ” เล็งขยายไลน์สินค้าหมวดเบบี้ อิเล็กทรอนิกส์เพิ่ม รับคุณแม่ยุค 4.0 ทั้งกล้องวงจรปิด เครื่องผลิตสเปรย์ฆ่าเชื้อ พร้อมติด QR Code แนะวิธีใช้ และดูแล มั่นใจสิ้นปีดันยอดขายเติบโต 20%
นางสาวอรุณศรี พิริยเลิศศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เบบี้ กิ๊ฟ (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้นำเข้าและจำหน่ายผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก ภายใต้แบรนด์ เบบี้ กิ๊ฟ , อะปริก้า (APRICA) , อาเลเบเบ (AILEBEBE), ปรินซ์ แอนด์ ปรินซ์เซส (PRINCE&PRINCESS) และ REAL KIDS เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า จากการศึกษาพฤติกรรมคุณแม่ยุคใหม่ พบว่า ก่อนเลือกซื้อสินค้ามักจะนิยมหาข้อมูลผ่านช่องทางออนไลน์ เนื่องจากสินค้าอุปกรณ์และของใช้สำหรับเด็ก ส่วนใหญ่มีขนาดใหญ่ ราคาสูง และต้องการความปลอดภัย จึงต้องศึกษาและดูความคิดเห็นจากพ่อ-แม่ที่เคยมีประสบการณ์
[caption id="attachment_307633" align="aligncenter" width="335"]
อรุณศรี พิริยเลิศศักดิ์[/caption]
ขณะเดียวกันพบว่า คุณแม่บางคนเลือกที่จะสั่งซื้อออนไลน์ แต่มารับสินค้าที่ร้าน จุดจำหน่ายหรือภายในงานแสดงสินค้าเอง และบางคนมาดูสินค้าที่ร้านหรืองานแสดงสินค้า เรียนรู้วิธีใช้ พร้อมสั่งซื้อและให้จัดส่งไปที่บ้านก็มี ทำให้บริษัทต้องปรับกลยุทธ์หันมาใช้การผสมผสานการทำตลาดผ่านช่องทางออนไลน์และออฟไลน์มากขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นการติด QR Code เพื่อแนะนำสินค้าแต่ละรุ่น คู่มือการใช้งาน รวมถึงการดูแลรักษา ซึ่งถือเป็นหนึ่งในบริการหลังการขาย โดยจะเริ่มใช้กับสินค้าอาทิ คาร์ซีต รถเข็นเด็ก เก้าอี้ทานข้าว เป้อุ้มเด็ก ภายใต้แบรนด์ APRICA, AILEBEBE ก่อนในไตรมาส 4 ปีนี้ ก่อนขยายไปยังแบรนด์อื่นๆ นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนขยายไลน์สินค้านำเข้าในหมวดเบบี้ อิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็น กล้องวงจรปิดสำหรับแม่และเด็กหรือเบบี้ มอนิเตอร์ ซึ่งมีระบบการเตือนแบบคลื่นวิทยุ ระบบ wifi ที่สามารถดูผ่านโทรศัพท์มือถือได้, เครื่องผลิตสเปรย์ฆ่าเชื้อ สามารถติดตั้งและใช้งานได้ทั้งภายในห้องนอน รถยนต์ ร้านอาหาร เป็นต้น
โดยปัจจุบันบริษัทมีช่องทางจำหน่าย 4 ช่องทางได้แก่ ร้าน Baby Gift Showroom ร้านจำหน่ายสินค้ามัลติแบรนด์ของเบบี้ กิ๊ฟ จำนวน 11 แห่ง อาทิ เมกา บางนา, นอร์ธปาร์ค ถ.วิภาวดี-รังสิต, เซ็นทรัล นครราชสีมา และล่าสุดเซ็นทรัลเวิลด์ ฯลฯ 2. เคาน์เตอร์ในห้างสรรพสินค้า จำนวน 21 แห่ง อาทิ พารากอน, ดิ เอ็มโพเรียม, เดอะ มอลล์ ฯลฯ 3. ช่องทางออนไลน์ อาทิ Shopee, Lazada, Central.co.th เป็นต้น และ 4. ร้านจำหน่ายสินค้าสำหรับแม่และเด็ก อาทิ ร้านพุงกลม, ร้านตั้งไข่, ร้าน Baby Land, ร้าน Pumpnom เป็นต้น
นางสาวอรุณศรี กล่าวอีกว่า ในปีหน้าบริษัทมีแผนนำเข้าสินค้าสำหรับแม่และเด็กในระดับพรีเมียมเพิ่มอีกหลายแบรนด์ รวมทั้งเพิ่มแผนบริการหลังการขายโดยอยู่ระหว่างเตรียมทีมบริการลูกค้า (Customer Service) เพื่อให้บริการลูกค้าอย่างรวดเร็วทั้งการจัดส่งสินค้าด่วนภายใน 3 ชม. สำหรับลูกค้าในเขตกรุงเทพฯ รวมทั้งการให้บริการนอกสถานที่ (On Site Service) ฯลฯ
อย่างไรก็ดีสำหรับภาพรวมธุรกิจสินค้าอุปกรณ์สำหรับแม่และเด็กระดับพรีเมียมส่วนใหญ่เป็นแบรนด์นำเข้าจากต่างประเทศรวมกว่า 30 แบรนด์แบ่งออกเป็น ระดับพรีเมียม 20% ระดับกลาง 30% และระดับล่าง 50% ในปีที่ผ่านมามีการเติบโต 20-30% ขณะที่เบบี้กิ๊ฟ ในปีนี้ตั้งเป้าหมายที่จะมีรายได้กว่า 100 ล้านบาทเติบโตขึ้นราว 20% จากปีก่อนที่มีรายได้ 85 ล้านบาท
หน้า 36 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ | ปีที่ 38 ฉบับ 3,394 วันที่ 23-25 สิงหาคม 2561