"พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ ทรงเป็นแรงบันดาลใจ และเป็นต้นแบบของการดำเนินชีวิต แม้ว่าพระองค์จะสวรรคตไปแล้วก็ตาม"
“อัญญพัชญ์ ทวีพัฒน์เจริญ” คือหญิงสาวผู้ยอมรับอย่างเต็มหัวใจว่า ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในชีวิตอย่างจริงจังมาจากพระองค์ ซึ่งทำให้ตนหันมาฉุกคิดถึงการกลับไปสานต่อธุรกิจที่เป็นรากฐานของครอบครัวตามปรัชญาการดำรงชีวิตตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง จนเกิดธุรกิจกระเป๋าหนังแท้สตรีแบรนด์ “ยู โสภา” (U Zophar) เมื่อช่วงต้นปี 2561
จากสาวออฟฟิศสู่ธุรกิจ
อัญญพัชญ์ เจ้าของธุรกิจ ร้านยูกิบิวตี้ฟาย (UKI BEAUTIFY) กล่าวกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ในช่วงชีวิตที่เป็นวัยรุ่นสมัยที่เรียนจบใหม่ๆ เลือกที่จะทำงานบริษัทเป็นมนุษย์เงินเดือนมากกว่าการกลับไปสานต่อกิจการของครอบครัว เพราะความรู้สึกชินชากับการได้เห็นกิจการมาตั้งแต่เด็ก จึงไม่มีความท้าทาย จนเมื่อเกิดความเปลี่ยนแปลงภายในประเทศจากการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ ที่นำมาซึ่งความเศร้าโศกเสียใจของคนไทยทั้งประเทศ รวมถึงตัวเธอ ได้จุดประกายไอเดียในการกลับมาสานต่อธุรกิจของครอบครัวที่คุ้นเคย และเป็นธุรกิจที่ทำให้ตัวเธอได้เรียนจนจบการศึกษา จนได้เข้าทำงานบริษัทในปัจจุบัน
ประจวบเหมาะกับที่ช่วงก่อนหน้านี้ตัวเธอเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงของบริษัทสัญชาติอเมริกาที่ทำงานอยู่ ซึ่งมีการถอนหุ้น และย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศเพื่อนบ้านที่มีต้นทุนค่าแรงที่ถูกกว่า โดยโรงงานที่ทำงานอยู่มีการลดกำลังการผลิตลง และมีการให้พนักงานบางส่วนออก แต่ตัวเธอซึ่งอยู่ในระดับที่เป็นฝ่ายบริหารจัดการเลยยังได้ทำงานต่อ โดยจากจุดดังกล่าวทำให้ตัวเธอมองไปถึงเรื่องความมั่นคงในอนาคต และคิดว่าจะกลับมาทำธุรกิจเป็นของตนเอง ซึ่งทั้ง 2 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเสมือนจุดเริ่มต้นของธุรกิจแบรนด์ ยู โสภา
ธุรกิจของครอบครัวที่ตัวเธอหันกลับมาหาก็คือ การผลิตกระเป๋าหนังสตรีแบบทำมือ หรือแฮนด์เมด (Handmade) ซึ่งคุณพ่อของเธอได้อยู่ในวงการมาตั้งแต่ตัวเธอยังไม่เกิด และได้เริ่มต้นธุรกิจอย่างจริงจังตั้งแต่ปี 2534 โดยสร้างโรงงานผลิตกระเป๋าเป็นของตนเอง หลังจากที่คุณพ่อได้เป็นช่างฝีมือ แต่ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่ตกตํ่ายุคของวิกฤติต้มยำกุ้งที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในปี 2540 ทำให้ธุรกิจของครอบครัวได้รับผลกระทบ มาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ในปี 2543 ทีมงานและทีมช่างทั้งหมดต่างก็แยกย้ายกลับไปยังภูมิลำเนาของตนเพื่อไปทำอาชีพอื่น
ฝีเข็มประณีตละเอียดทุกขั้นตอน
อัญญพัชญ์ กล่าวต่อไปอีกว่า จุดเด่นของกระเป๋าแบรนด์ ยู โสภา คือ ความเป็นงานฝีมือ, ความเนี้ยบ และความประณีตในการผลิตกระเป๋าออกมาแต่ละใบ แต่มีราคาที่ไม่สูงจนเกินไป ผู้บริโภคระดับกลางสามารถเข้าถึงได้ โดยความมีคุณภาพของงานมาจากการที่คุณพ่อมีประสบการณ์ในการทำงานให้กับแบรนด์ดังระดับประเทศมาตลอด ด้วยฝีเข็ม และการเย็บที่ละเอียด โดยจะไม่ใช่การทำงานในลักษณะของการรับจ้างผลิตเอาปริมาณ
“ด้วยความเป็นศิลปินของคุณพ่อ หากเห็นว่างานไม่ดีก็จะเลาะออกมาทำใหม่ทั้งหมด ไม่มีการปล่อยผ่าน ที่สำคัญเป็นงานแบบแฮนด์เมด อีกทั้งยังมีการรับประกันตลอดอายุการใช้งานของกระเป๋า ซึ่งการซ่อมของคุณพ่อจะไม่ได้เป็นการตัดเย็บแล้วแปะ แต่การซ่อมแทบจะเป็นการเปลี่ยนใบใหม่ให้ทั้งใบเลยก็ว่าได้”
ส่วนช่องทางการทำตลาดจะมีทั้งในรูปแบบออนไลน์ ซึ่งจะเป็นการดำเนินการผ่านเว็บไซต์อี-คอมเมิร์ซ ที่เปิดให้บริการจำหน่ายสินค้าผ่านบนแพลตฟอร์ม, อินสตาแกรม, เฟซบุ๊ก และไลน์แอด ขณะที่การทำตลาดออฟไลน์จะดำเนินการจำหน่ายในห้างสรรพสินค้าผ่านร้านแมชบอกซ์ ที่สาขาเซ็นทรัลพระราม 2 และจำหน่ายที่ร้านสหกรณ์ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยสำนักงานใหญ่ อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี
นอกจากนี้ แบรนด์ ยู โสภา ยังเข้าร่วมเป็นสมาชิกกับกลุ่มคัตเตอร์เครื่องหนังไทย ซึ่งอยู่ภายใต้การดำเนินการของกรมส่งเสริมอุตสาห กรรม (กสอ.) โดยเข้าร่วมโครงการแพลตฟอร์มที กู๊ด เทค หรือระบบการค้าออนไลน์ ซึ่งเป็นโครงการเชื่อมโยงผู้ประ กอบการเอสเอ็มอีในการจับคู่ธุรกิจออนไลน์ เพื่อเพิ่มโอกาสทางการค้าไปยังตลาดต่างประเทศ ทั้งการจำหน่ายภายใต้แบรนด์ ยู โสภา และการรับจ้างผลิต (OEM) อีกทั้ง แบรนด์ยังอยู่ระหว่างการพัฒนาเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของแบรนด์เอง ซึ่งขั้นตอนล่าสุดได้มีการจดโดเมนเนมเรียบร้อยแล้ว
“แบรนด์ ยู โสภา ต้องใช้ระยะเวลาอีกระยะหนึ่งในการสร้างแบรนด์ โดยปริมาณการผลิตยังไม่ได้จำนวนตามที่ต้องการ หากมีการรับจ้างผลิตด้วยก็จะช่วยเพิ่มกำลังการผลิตให้กับธุรกิจด้วย ซึ่งจะมาจากการออกงานแสดงสินค้าผ่านโครงการดังกล่าว อย่างไรก็ดี แบรนด์ยังมีแผนที่จะนำผลิตภัณฑ์ไปจำหน่ายยังภูมิภาคเอเชีย โดยจะเริ่มต้นที่ประเทศกัมพูชาเป็นลำดับแรก ซึ่งขณะนี้ได้มีการติดต่อกับคนรู้จัก โดยมีความสนใจที่จะนำผลิตภัณฑ์ไปจำหน่ายที่กรุงพนมเปญ”
ปั้นรายได้หลักล้านต่อเดือน
อัญญพัชญ์ กล่าวต่อไปอีกว่า ในช่วงระยะแรกรายได้จะอยู่ที่ประมาณหลักหมื่นบาทต่อเดือน หลังจากนั้นเมื่อถึงช่วงปลายปีคาดว่ารายได้จะขยับขึ้นไปสู่ระดับหลักแสนบาทต่อเดือน และในปีถัดไปเชื่อว่าตัวเลขรายได้จะสามารถขยับขึ้นไปอยู่ในระดับหลักล้านบาทต่อเดือนได้ ซึ่งจะมาจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ ยู โสภา และการรับจ้างผลิต
“เวลานี้เรามุ่งเน้นที่แบรนด์ ยู โสภา เพียงอย่างเดียว แต่หลังจากที่ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกของโครงการที กู๊ด เทค แล้ว ก็จะเปิดธุรกิจรับจ้างผลิตแบบ 100% เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ โดยในช่วงปลายปี กสอ. จะมีการจัดการเกี่ยวกับเครื่องหนัง ซึ่งจะมีทั้งลูกค้าทั่วไปที่เข้ามาชมงาน และการเจรจาธุรกิจกับคู่ค้าจากต่างประเทศ โดยตนจะใช้โอกาสดังกล่าวนี้ในการเปิดบริษัท หรือเปิดร้านให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในกลุ่มของลูกค้ามากขึ้น”
ส่วนภาพรวมของธุรกิจในอนาคตนั้น ต้องการให้เป็นธุรกิจที่ยั่งยืน และถ่ายทอดต่อไปสู่รุ่นลูกรุ่นหลาน แบรนด์ยังต้องการเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้อุตสาหกรรมดังกล่าวมีชื่อเสียง และได้รับการยอมรับทั้งในประเทศ และในตลาดโลก ซึ่งหากธุรกิจกระเป๋าหนังแท้สตรีเริ่มลงตัว และวางรากฐานได้อย่างมั่นคงแล้ว ตนมีแผนที่จะนำเครื่องจักรประเภทอื่นมาช่วยต่อยอดผลิตภัณฑ์ไปสู่การทำเข็มขัดหนัง, รองเท้า, กระเป๋าสตางค์สำหรับผู้ชาย และกระเป๋าใส่เอกสาร เป็นต้น พร้อมขยายฐานลูกค้าไปสู่ระดับล่างมากขึ้น
“แบรนด์ยังมองไปถึงการทำอุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆ ในโรงแรม เนื่อง จากตนเคยเห็นอุปกรณ์ที่ใช้หนังหุ้ม หรืออะไรก็ตามที่หนังสามารถทำได้ เพราะปัจจุบันยังมีผู้ประกอบการเข้าไปเจาะตลาดดังกล่าวนี้ไม่มาก แต่โรงแรมระดับ 5 ดาว หรือ 4 ดาว และ 3 ดาวครึ่งที่ตกแต่งด้วยวัสดุที่เป็นหนังแท้มีอยู่มาก เราจึงมองว่านี่เป็นกลุ่มลูกค้าอีกกลุ่มหนึ่งที่น่าสนใจ ซึ่งเราจะพยายามคิดในสิ่งที่ผู้อื่นยังไม่มอง”
เรื่อง : นิธิโรจน์ เกิดบุญภานุวัฒน์
ภาพ : ประเสริฐ ขวัญมา
หน้า 13 ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3391 วันที่ 12-15 สิงหาคม 2561