“เค.เอ็ม.แพ็กเกจจิ้ง” ออกผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์กระดาษทนความร้อน 100 องศา ตอบโจทย์ความสะดวกสบายของไลฟ์สไตล์ผู้บริโภค พร้อมถ้วยกระดาษเพื่อสิ่งแวดล้อมย่อยสลายได้ใน 180 วัน เชื่อดันยอดบริษัทโตได้ 10-20% ในปี 62 และจะเติบโตอย่างมากในอีก 5 ปีตามแนวโน้มกระแสโลก
นางสาวจิตธิดา กมลสุวรรณ ผู้ช่วยรองกรรมการผู้จัดการ สายงานขายและการตลาด บริษัท เค.เอ็ม.แพ็กเกจจิ้ง จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์บรรจุสินค้าจากกระดาษ เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ขณะนี้บริษัทกำลังนำเสนอผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่ 2 ประเภท เพื่อขยายฐานลูกค้า รวมถึงรองรับกับกระแสแนวโน้มของการใส่ใจเรื่องสุขภาพ และวิถีการดำเนินชีวิตของผู้บริโภคยุคปัจจุบันที่ต้องการความสะดวกสบายมากขึ้น ได้แก่ 1.ผลิตกระดาษ wave ซึ่งเป็นการนำกระดาษที่เคลือบด้วยสารพิเศษที่พัฒนาโดยทีมงานจากประเทศสหรัฐอเมริกา
ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวสามารถทำให้กระดาษทนความร้อนได้ถึง 100 องศา หรือนำเข้าใช้งานกับไมโครเวฟได้ โดยบริษัทเป็นรายเดียวในเอเชียที่ได้สิทธิ์ในการจำหน่าย ซึ่งผลิตภัณฑ์ดังกล่าวบริษัทมุ่งเน้นเจาะตลาดผู้ให้บริการเกี่ยวกับอาหารดีลิเวอรี หรือกลุ่มของอาหารประเภทจานด่วน หรือฟาสต์ฟูด สำหรับลูกค้าที่ซื้อกลับไปรับประทานที่บ้าน โดยสามารถอุ่นรับประทานได้ทันที เนื่องจากไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่ต้องการความสะดวกรวดเร็วในการใช้ชีวิต ดังนั้น แพ็กเกจจิ้งดังกล่าวนี้จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในตลาดบรรจุภัณฑ์
2.ผลิตภัณฑ์กระดาษที่สามารถย่อยสลายได้ โดยเป็นการพัฒนาร่วมกับ PTTMCC เรียกว่า BIOPBS ซึ่งนำนํ้าตาลมาสังเคราะห์ให้เป็นฟิล์มพลาสติกเคลือบบนกระดาษ ทำให้กระดาษไม่มีส่วนผสมของการเป็นพลาสติกที่ผลิตขึ้นมาจากสารตั้งต้นเอทิลีน ซึ่งเป็นผลผลิตจากปิโตรเลียม (Polyethylene) และสามารถย่อยสลายได้ภายใน 180 วัน ด้วยกระบวนการฝังกลบในดิน นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์ที่เรียกว่า PLASTIC FREE ซึ่งเป็นกระดาษที่บริษัทพัฒนาร่วมกับเยอรมนี โดยสารที่นำมาเคลือบกระดาษจะไม่มีส่วนผสมของพลาสติกเจอปนแต่อย่างใด
“กระดาษที่ใช้ทำถ้วยในปัจจุบันในตลาดที่ใช้กันอยู่ในชีวิตประจำวัน จะเป็นกระดาษที่เคลือบด้วยพลาสติกที่เรียกว่า Polyethylene ซึ่งกว่าจะย่อยสลายได้ตามธรรมชาติจะต้องใช้ระยะเวลายาวนานถึง 5 ปี”
นางสาวจิตธิดา กล่าวต่อไปอีกว่า ผลิตภัณฑ์กระดาษย่อยสลายได้จะมุ่งเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าที่ให้ใส่ใจในเรื่องของสุขภาพ และสิ่งแวดล้อม โดยอาจจะเป็นร้านอาหารที่เกี่ยวกับสุขภาพ เช่น อาหารฟิวชัน หรือออร์แกนิก และผู้บริโภคที่ต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ดูแลรักษาโลก เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีผู้ประกอบการรายใหม่ที่ต้องการสร้างความน่าสนใจให้กับผลิตภัณฑ์ ซึ่งปัจจุบันบริษัทได้ดำเนินกลยุทธ์ทางการตลาดด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางเลือกทั้ง 2 ชนิดให้กับฐานลูกค้าเดิมของบริษัทที่ส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทขนาดใหญ่ระดับประเทศ และระดับโลกแล้ว โดยทั้งหมดให้ความสนใจ และมีแนวโน้มที่จะปรับเปลี่ยนรูปแบบแพ็กเกจจิ้งมาสู่รูปแบบดังกล่าว เพื่อตอบรับกับกระแสของโลก ซึ่งอาจจะนำไปใช้กับสินค้าเดิม หรือสินค้าใหม่ที่จะออกสู่ตลาดในอนาคต
อย่างไรก็ดี ขณะนี้ผลิตภัณฑ์ทั้ง 2 ชนิดยังเป็นแบบลักษณะถ้วยเท่านั้นที่บริษัทนำเสนอออกสู่ตลาด แต่ในอนาคตบริษัทจะมีการต่อยอดทำแพ็กเกจจิ้งให้มีความหลากหลายมากขึ้น เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ามากขึ้น ทำให้หลากหลาย ซึ่งแนวโน้มของตลาดยังสามารถโตได้อีกมาก โดยเฉพาะในต่างประเทศที่จะให้ความสนใจกับเรื่องดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นการคัดแยกขยะ การให้ความรู้ประชาชน ทำให้ประชาชนเกิดความต้องการในการใช้ แต่ในประเทศไทยยังคงกํ้ากึ่ง แต่ก็เริ่มมีกระแสการเติบโตที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“กระแสตอบรับจากลูกค้าเป็นไปได้ด้วยดี ทั้งจากในและต่างประเทศ โดยเฉพาะต่างประเทศที่ส่วนใหญ่ปัจจุบันหันมาให้ความสนใจเรื่องของผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม โดยบางประเทศมีนโยบายเลิกใช้พลาสติกไปเลย นอกจากนี้ บริษัทขนาดใหญ่
จะมีนโยบายในการทำธุรกิจแบบยั่งยืน ซึ่งจะให้ความสำคัญกับสังคม และสิ่งแวดล้อมดังนั้น บริษัทจึงต้องหาวัตถุดิบที่จะมาทดแทนกระดาษที่สามารถใส่สินค้าได้ ทั้งของเปียก หรือมัน โดยผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะตอบโจทย์และก็สามารถย่อยสลายได้”
นางสาวจิตธิดา กล่าวต่อไปอีกว่า จากกลยุทธ์ในการทำตลาดดังกล่าวเชื่อว่าจะทำให้รายได้ของบริษัทเติบโตขึ้นได้ประมาณ 10-20% ในปี 2562 และจะเติบโตขึ้นอย่างมากในอีก 5 ปีข้างหน้า จากแนวโน้มความต้องการของตลาดโลก โดยในปีนี้จะเป็นการสร้างการรับรู้ รวมถึงให้ความรู้กับผู้ประกอบการ และผู้บริโภคว่าบริษัทมีผลิตภัณฑ์ดังกล่าวออกมาเป็นทางเลือกให้ได้ใช้งาน โดยในปี 2560 ที่ผ่านมาบริษัทมียอดรายได้รวมอยู่ที่ 700 ล้านบาท
หน้า 13 ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3374 วันที่ 14-16 มิถุนายน 2561