ธุรกิจนอกโรงพยาบาลกำไรดี เครือร.พ.กรุงเทพเดินหน้าลงทุนเพิ่มปักธงชายแดน/อาเซียน

30 ม.ค. 2559 | 11:00 น.
กลุ่มธุรกิจนอกโรงพยาบาล เครือร.พ.กรุงเทพ ลุยลงทุนต่อเนื่อง ทั้งร้านขายยา โรงงานผลิตยา และแล็บ เซ็นเตอร์ ปั้นรายได้โตปีละ 35% ทะลุ 1 หมื่นล้าน เร็วกว่าแผนเดิม คาดทำได้ภายใน 3 ปี หลังเทรนด์ผู้บริโภคหันใส่ใจดูแลสุขภาพก่อนเจ็บป่วย เดินหน้าปักธงทำตลาดทั้งเมืองชายแดนและอาเซียน

นายณรงค์ฤทธิ์ กาละพุฒ ประธานคณะผู้บริหารกลุ่มธุรกิจสนับสนุนโรงพยาบาล บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ บีดีเอ็มเอส ผู้บริหารเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ"ว่า ได้เตรียมการขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ในทุกธุรกิจที่ไม่ใช่โรงพยาบาล ได้แก่ ร้านขายยาเซฟดรัก (Save Drug) โรงงานผลิตยา และกลุ่มธุรกิจห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ (Lab) เพื่อผลักดันให้แผนธุรกิจระยะ 5 ปี มีรายได้ 1 หมื่นล้านบาท เนื่องจากคณะกรรมการบริหาร (บอร์ด)ได้ให้ความสำคัญกับกลุ่มธุรกิจสนับสนุนโรงพยาบาล หรือกลุ่มธุรกิจอื่นที่ไม่ใช่การรักษาพยาบาล เพราะเป็นธุรกิจต้นน้ำที่เข้ามาเสริมให้ธุรกิจโรงพยาบาลครบวงจรของซัพพลายเชน และเป็นธุรกิจที่ให้ผลกำไรที่ดีกว่าธุรกิจการรักษาพยาบาล

"ในปีที่ผ่านมา รายได้กลุ่มธุรกิจที่ไม่ใช่โรงพยาบาลมีรายได้ 4 พันล้านบาท เติบโต 36% ซึ่งเป็นผลจากการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง และเป็นเทรนด์ปัจจุบันที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพก่อนเจ็บป่วย โดยในระยะ 3 ปี หรือตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นไปได้วางเป้าหมายการเติบโตอย่างต่อเนื่องปีละ 35% ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่รายได้ 1 หมื่นล้านบาท จะทำได้เร็วกว่าแผนเดิมที่กำหนดไว้ในระยะ 5 ปี"

ทั้งนี้ บริษัทในเครือที่ดำเนินธุรกิจนอกเหนือจากการรักษาพยาบาล อาทิ กลุ่มบริษัทผลิตและจำหน่ายยา น้ำเกลือ และวัสดุภัณฑ์ทางการแพทย์ ได้แก่ บริษัท เอ.เอ็น.บี.ลาบอราตอรี่ (อำนวยเภสัช) จำกัด บริษัท สหแพทย์เภสัช จำกัด และบริษัท รอยัล บางกอก เฮ็ลธ์แคร์ จำกัด ผลิตและจำหน่ายยา น้ำเกลือ และวัสดุภัณฑ์ทางการแพทย์ กลุ่มบริษัทขายยาและเวชภัณฑ์ ได้แก่ บริษัท เซฟดรัก จำกัด (ถือหุ้นโดยบริษัท กรุงเทพเซฟดรัก จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย100% ของบริษัท) และกลุ่มบริษัทดำเนินธุรกิจห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ (Lab) ได้แก่ บริษัท เนชั่นแนล เฮลท์แคร์ ซิสเต็มส์ จำกัด หรือ เอ็น เฮลท์ (N Health)

สำหรับแผนการลงทุนธุรกิจร้านยา เซฟ ดรัก (Save Drug) ในปีนี้จะขยายสาขาเพิ่ม 50 แห่ง ลงทุน 1.5 ล้านบาทต่อสาขา จากปัจจุบันมีสาขาทั้งสิ้น 107 แห่ง และเตรียมเปิดโรงงานผลิตยาแห่งใหม่อีก 1 โรงงาน ที่นิคมอุตสาหกรรมสินสาคร ที่มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก 2 เท่าตัว เนื่องจากโรงงานเดิมเดินเครื่องเต็มกำลังการผลิตแล้ว ทำให้ปีนี้ธุรกิจโรงงานยาจะมีอัตราการเติบโต 20% จากปัจจุบันมียอดขาย 2 พันล้านบาท ส่วนเอ็น เฮลท์ ซึ่งมีแผนขยายแล็บ เซ็นเตอร์ที่อยู่นอกโรงพยาบาลเพิ่มอีก 10 แห่ง ลงทุน 2 ล้านบาท ต่อสาขา จากปัจจุบันมีสาขา 9 แห่ง

"ปีนี้วางแผนเปิดสาขาเอ็น เฮลท์ พร้อมกับร้านยา เซฟ ดรัก ให้เป็นศูนย์รวมด้านสุขภาพ หรือIntegrated Healthcare Center และจะเปิดสาขาร้านยา เซฟ ดรัก อย่างเดียวอีกหลายสาขาทุกภูมิภาคทั่วประเทศไทย เพราะต้องการเข้าถึงผู้บริโภคมากขึ้น โดยหวังว่าจะช่วยให้ผู้คนหันมาดูแลสุขภาพก่อนเจ็บป่วยได้สะดวกขึ้น ล่าสุดเปิดศูนย์บริการตรวจวิเคราะห์ทางการแพทย์เอ็นเฮลท์และร้านยาเซฟ ดรัก ที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เพื่อสนับบริการทางการแพทย์ครบวงจรแห่งแรก ซึ่งทางเอ็น เฮลท์ได้เริ่มตั้งแล็บ เซ็นเตอร์ รูปแบบสแตนด์อะโลน ที่อยู่นอกโรงพยาบาลตั้งแต่ปีที่ผ่านมาในจังหวัดต่างๆ อาทิ จังหวัดนครสวรรค์ จังหวัดเชียงใหม่ และอำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง เป็นต้น "

สำหรับแผนรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี บริษัทวางแผนเปิดศูนย์บริการตรวจวิเคราะห์ทางการแพทย์ตามหัวเมืองชายแดนของประเทศไทย เพื่อรองรับการใช้บริการของลูกค้าจากประเทศเพื่อนบ้าน ล่าสุดได้เปิดให้บริการแห่งแรกที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก และวางแผนเปิดอย่างต่อเนื่อง อาทิ จังหวัดสระแก้ว จังหวัดเชียงราย จังหวัดจันทบุรี เป็นต้น ขณะเดียวกันยังวางแผนเข้าไปเปิดสาขาในต่างประเทศด้วย

"เป้าหมายรายได้หมื่นล้านบาท ไม่ได้มองเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น ยังมองตลาดในอาเซียนด้วย เพราะมีสาขาเอ็น เฮลท์ ในกัมพูชา ที่เปิดให้บริการมา 1 ปีถือว่าได้รับการตอบรับที่ดีมาก มีแผนขยายสาขาต่อไปยังอินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ซึ่งใช้งบประมาณการลงทุนมากกว่าประเทศไทย 1.5 เท่า ขณะที่ประเทศเดิมจะขยายเพิ่ม เช่น ในมัณฑะเลย์ และเสียมราฐ โดยคาดว่าในระยะ 3 ปีจะขยายสาขาครบ 10 ประเทศ ส่วนร้านเซฟ ดรัก มีแผนขยายไปที่พนมเปญ แห่งแรก เป็นไพรอต โปรเจ็กต์ คาดว่าจะใช้งบลงทุน 3-4 ล้านบาท และคาดว่าจะขยายครบ 10 สาขาใน 3 ปี ปัจจุบันสัดส่วนรายได้ในต่างประเทศคิดเป็นสัดส่วน 1% คาดว่าในปีนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 5% และในปีหน้าจะเพิ่มเป็น 10%"

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,126 วันที่ 28 - 30 มกราคม พ.ศ. 2559