เปิดใจอธิบดีกรมทรัพยากรนํ้า ทุกข้อสงสัยร่างพ.ร.บ.

29 ก.ย. 2560 | 10:47 น.
อัปเดตล่าสุด :29 ก.ย. 2560 | 17:47 น.
นับแต่ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ทรัพยากรนํ้า พ.ศ. ...ของกรมทรัพยากรนํ้า ได้เข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญที่มีพล.อ. อกนิษฐ์ หมื่นสวัสดิ์ เป็นประธาน ซึ่งได้รับหลักการตั้งแต่วันที่ 2 มีนาคม 2560 และจะครบกำหนดระยะเวลาพิจารณาร่างฯในวันที่ 27 ตุลาคมนี้ หรือนับถอยหลังเหลือเพียง 1 เดือนเท่านั้น “ฐานเศรษฐกิจ” ได้มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษ “วรศาสน์ อภัยพงษ์” อธิบดีกรมทรัพยากรนํ้า ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญ ร่าง พ.ร.บ.ทรัพยากรนํ้า และในฐานะกรรมการและเลขานุการคณะกรรมการทรัพยากรนํ้าแห่งชาติ (กนช.) ถึงเหตุผล และความจำเป็นที่ประเทศไทยต้องมีกฎหมายเกี่ยวกับทรัพยากรนํ้า รวมถึงการชี้แจงในประเด็นการจัดสรรนํ้า 3 ประเภทที่กลายเป็นทอล์ก ออฟ เดอะทาวน์ในขณะนี้

++ไทยส่อวิกฤตินํ้า
“วรศาสน์” กล่าวว่า ไทยจำเป็นต้องมี พ.ร.บ. หรือกฎหมายเกี่ยวกับทรัพยากรนํ้า เนื่องจากปัญหาเรื่องนํ้าเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกปีไม่ว่าจะเป็นนํ้าขาดแคลน การแย่งชิงนํ้า การใช้นํ้าอย่างฟุ่มเฟือย มีการบุกรุกป่าต้นนํ้า มีความเสื่อมโทรมของแหล่งนํ้า เป็นต้น ขณะที่ปัจจุบันมีมากถึง 42 หน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรนํ้า ซึ่งเกี่ยวข้องกับพระราชบัญญัติถึง 36 ฉบับ และพระราชกำหนด 2 ฉบับ กฎกระทรวง 457 ฉบับ อนุบัญญัติ 2,418 ฉบับ และประกาศ 855 ฉบับ รวมทั้งสิ้น 3,768 ฉบับ ทำให้การทำงานขาดความมีเอกภาพ

ขณะที่ไทยมีฝนตกเฉลี่ย 1,455 มม./ปี คิดเป็นปริมาณนํ้าท่าทั้งประเทศประมาณ 2.85 แสนล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.)ต่อปี กักเก็บนํ้าผิวดินได้ 34% (หรือ 9.71 หมื่นล้านลบ.ม./ปี) และมีนํ้าบาดาลที่ใช้การได้ 1.59 หมื่นล้านลบ.ม./ปี รวมแล้วมีปริมาณนํ้าที่ใช้การได้ 1.13 แสนล้านลบ.ม./ปี ส่วนที่เหลือเป็นนํ้าที่ไหลซึมลงใต้ดินและไหลลงสู่ทะเล ขณะที่ความต้องการใช้นํ้าของประเทศราว 1.51 แสนล้านลบ.ม./ปี ซึ่งมากกว่าปริ-มาณนํ้าที่ใช้การได้

“ไทยมี 25 ลุ่มนํ้าหลัก มีพื้นที่ 5.14 แสนตารางกิโลเมตร หรือ 321.2 ล้านไร่ เป็นพื้นที่การเกษตร 149 ล้านไร่ ในจำนวนนี้มีการพัฒนาพื้นที่ชลประทานกว่า 30 ล้านไร่ คิดเป็นสัดส่วน 20% ส่วนอีก 80% เป็นพื้นที่นอกเขตชลประทานปลูกพืชโดยใช้นํ้าฝนเป็นหลัก มีความเสี่ยงต่อการขาดแคลนนํ้า และหากคำนวณปริมาณนํ้าท่าเฉลี่ยต่อคนต่อปีคนไทย 65 ล้านคน มีนํ้าใช้ 3,200 ลบ.ม.ต่อคนต่อปี นํ้าแค่นี้ทำนาได้ ไม่เกิน 3 ไร่ เพราะการทำนาจะต้องใช้นํ้าไม่ตํ่ากว่า 1,500 ลบ.ม.ต่อไร่ ขณะที่ดัชนีโลกมีความต้องการใช้นํ้าเฉลี่ยที่ 5,000 ลบ.ม.ต่อคนต่อปี ปริมาณนํ้าของไทยถือว่ามีความเสี่ยงและเข้าขั้นวิกฤติแล้ว ดังนั้นจึงต้องมีกฎหมายออกมารองรับเพื่อให้การใช้นํ้าเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ”

[caption id="attachment_212957" align="aligncenter" width="314"] วรศาสน์ อภัยพงษ์ อธิบดีกรมทรัพยากรนํ้า วรศาสน์ อภัยพงษ์ อธิบดีกรมทรัพยากรนํ้า[/caption]

++แจงจัดสรรนํ้า 3 ประเภท
สำหรับ “นํ้า” ตามคำนิยามทรัพยากรนํ้าสาธารณะ หมายความถึง นํ้าที่ประชาชนใช้ร่วมกัน กฎหมายฉบับนี้จะไม่รวมพื้นที่ชลประทาน และแหล่งนํ้าบาดาล แต่จะหมายถึง แม่นํ้า ลำคลอง ทางนํ้า บึง และทะเลสาบที่รัฐจัดสร้างขึ้นเพื่อให้ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน จะแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ ประเภทที่ 1 นํ้าเพื่อใช้ดำรงชีพ เพื่ออุปโภคบริโภคในครัวเรือน การเกษตร หรือการเลี้ยงสัตว์เพื่อยังชีพ การอุตสาหกรรมในครัวเรือน ไม่ต้องขออนุญาต และไม่ต้องเสียค่านํ้า

“วิธีการคำนวณนํ้าเพื่อยังชีพ จะมีตัวเลขของรายได้ต่อครัวเรือนต่อเดือนต่อปี มาประเมินว่าหากทำกิจกรรมนี้จะใช้นํ้าประมาณเท่าไร เมื่อประเมินแล้ว จะมาพิจารณาในแต่ละลุ่มนํ้าที่มีความอุดมสมบูรณ์ของแหล่งนํ้าในแต่ละพื้นที่ที่ไม่เท่ากัน ดังนั้นบางลุ่มนํ้าสิทธิขั้นพื้นฐาน จะได้รับโควตานํ้าอาจจะ 5,000, 4,000 หรือ 3,000 ลบ.ม.ต่อราย ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการลุ่มนํ้าและปริมาณนํ้าต้นทุนจะพิจารณา”

ส่วนนํ้าประเภทที่ 2 ได้แก่ นํ้าสาธารณะเพื่อการเกษตร หรือการเลี้ยงสัตว์เพื่อการพาณิชย์ การอุตสาหกรรม การท่องเที่ยว การผลิตพลังงานไฟฟ้า การประปา และกิจการอื่นที่นำนํ้าไปเพิ่มมูลค่า ซึ่งต้องขอรับใบอนุญาตการใช้นํ้า ตัวอย่างในส่วนของเกษตรกรจะต้องกำหนดสิทธิให้เข้าถึงง่าย เช่น ปลูกข้าวเกิน 50 ไร่ให้ขออนุญาตใช้นํ้า หรือบางคนบอกว่าทำนา 50 ไร่ต้องขอใบอนุญาต ต้องมองเป็น 2 ประเด็น หรือถ้าไปกำหนดว่าจะต้องมี 100 ไร่ เกษตรกรไม่มีทางเข้าถึงสิทธินํ้าประเภทที่ 2 ได้เลย ดังนั้นต้องกำหนดสิทธิการเข้าถึงที่ไม่ยุ่งยากและไม่สูงเกินไป

++ขออย่ากังวลเกินไป
“นํ้าประเภทที่ 2 มีค่าใช้จ่าย แต่อย่าไปกังวลเพราะเรามีช่องของกฎหมายอยู่ว่าจะยกเว้น ไม่เก็บเงินก็ได้ ซึ่งนํ้าประเภทที่ 2 ในกลุ่มเกษตร อัตราการเก็บค่านํ้าอยู่ที่ 50 สตางค์ต่อลูกบาศก์เมตร เท่ากับค่านํ้าชลประทาน แต่หากรายได้ไม่เพียงพอ ผลผลิตขายได้ราคาไม่ดี ยกเว้นไม่เก็บก็ยังได้เลย แต่คุณต้องรักษาสิทธิการเข้าถึงนํ้ารวมถึงโควตานํ้า เพราะสิทธินี้สามารถถ่ายทอดสู่รุ่นลูกรุ่นหลานได้ ตราบใดที่ไปต่อใบอนุญาตสิทธินี้ก็ยังคงอยู่ ขณะที่นํ้าเพื่อกิจการอื่นๆ ในประเภทที่ 2 จะเก็บในอัตรา 1-3 บาทต่อลบ.ม.”

และนํ้าประเภทที่ 3 การใช้ทรัพยากรนํ้าสาธารณะเพื่อกิจการขนาดใหญ่ที่ใช้นํ้าปริมาณมาก หรืออาจก่อให้เกิดผลกระทบข้ามลุ่มนํ้า หรือครอบคลุมพื้นที่อย่างกว้างขวางอาทิ สนามกอล์ฟ หรือกิจการผลิตนํ้าประปาเพื่อการบริโภคมาจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ จะเก็บค่านํ้าเต็มเพดานที่ 3 บาทต่อลบ.ม. ยํ้าว่าการเก็บค่านํ้าจะเป็นรายได้เข้าคลัง เป้าหมายเพื่อจัดสรรนํ้าให้เป็นธรรม

“การออกกฎกระทรวงคำจำกัดความเรื่องเกษตรเพื่อยังชีพ เกษตรเพื่อพาณิชย์ มีประเด็นที่อ่อนไหวทางคณะกรรมาธิการฯได้ข้ามมาตรานี้ไปก่อนยังไม่พิจารณา ทั้งนี้หากการพิจารณารายมาตรา(มี 100 มาตรา)แล้วเสร็จ ขั้นตอนต่อไปก็จะผ่านวาระ 2 และ 3 จนถึงประกาศใช้ พ.ร.บ. และท้ายสุดการออกกฎหมายลูก คณะกรรมการ 25 ลุ่มแม่นํ้าจะต้องไปรับฟังความเห็นของประชาชนในแต่ละลุ่มนํ้านั้นอีกครั้งก่อนบังคับใช้”

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,300 วันที่ 28 - 30 กันยายน พ.ศ. 2560
ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว-9-1