ปิดดีเอสฟิวเจอร์ส สังเวยตลาดทีเฟค

12 ส.ค. 2560 | 04:11 น.
อัปเดตล่าสุด :12 ส.ค. 2560 | 11:11 น.
ปิดฉาก ดีเอส ฟิวเจอร์ส โบรกเกอร์รายสุดท้ายของเอเฟทหลังควบรวมทีเฟค แล้วเจ๊ง โอดวัตถุ ประสงค์ตั้งตลาดต่างกัน เผยพาณิชย์อุ้มของบรัฐหนุนทุกปี 150-200 ล้านบาท ต่างจากตลาดหลักทรัพย์ฯเน้นกำไรขาดทุน-โวลุ่มซื้อขายจริง
ปลายปี 2557 พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีนโยบายควบรวมศูนย์การซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าของประเทศไทยให้เป็นหนึ่งเดียว ซึ่งขณะนั้นมี 2 ตลาด คือ ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศ ไทย (AFET) และตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า(ประเทศไทย) จำกัด(มหาชน) หรือ TFEX จากเห็นว่ามีขั้นตอนการซื้อขายที่ใกล้เคียงกัน จะส่งผลดีต่อไทยให้มีความสามารถแข่งกับตลาดซื้อขายล่วงหน้าอื่นในภูมิภาค

นอกจากนี้ยังอำนวยความสะดวกแก่ผู้ซื้อ-ผู้ขายที่สามารถทำธุรกรรมได้ในตลาดเดียว ซึ่งในที่สุดการควบรวมร่วม 2 ปีก็สำเร็จและเปิดให้มีการซื้อขายวันแรกในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2559 ขณะเดียวกันทางตลาดทีเฟคได้ออกข่าวว่าจะมีโบรกเกอร์ใหม่ 2 รายจากสมาชิกเอเฟทเข้ามาเป็นสมาชิก ได้แก่บริษัท ดีเอส ฟิวเจอร์ส จำกัด และบริษัท อินฟินิตี้ เวลท์ ฟิวเจอร์ส จำกัด

[caption id="attachment_191899" align="aligncenter" width="503"] พสิษฐ์ เจริญศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดีเอส ฟิวเจอร์ส จำกัด พสิษฐ์ เจริญศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดีเอส ฟิวเจอร์ส จำกัด[/caption]

นายพสิษฐ์ เจริญศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดีเอส ฟิวเจอร์ส จำกัด อดีตโบรกเกอร์หรือนายหน้าซื้อขายตราสารอนุพันธ์ในตลาดเอเฟทและทีเฟค เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่าปัจจุบัน บริษัทได้ออกจากตลาดทีเฟคเรียบร้อย และกำลังจะปิดกิจการลง ที่ผ่านมาได้พยายามเรียกร้องทั้งกระทรวงพาณิชย์ ตลาดหลักทรัพย์ฯ และรัฐบาลมาโดยตลาอดว่าการควบรวม 2 ตลาด แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะวัตถุประสงค์การก่อตั้งตลาดเอเฟทเกิดขึ้นจากแนวความคิดเพื่อให้มีศูนย์กลางการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า เป็นกลไกในการประกันความเสี่ยงของผู้ประกอบธุรกิจที่เกี่ยวข้อง

ทั้งนี้ไม่ได้ยึดถือเรื่องกำไร-ขาดทุนขององค์กรเป็นหลัก จะเห็นได้จากการที่สินค้าบางรายการจะไม่มีการซื้อขายเนื่องจากมีการแทรกแซงราคาในตลาดจริงของภาครัฐ แต่เอเฟทก็ยังคงต้องจัดให้มีสินค้าเหล่านั้นอยู่บนกระดานซื้อขาย อย่างน้อยก็เป็นกลไกให้เกษตรกรมีราคาอ้างอิง ลดการถูกเอารัดเอาเปรียบจากพ่อค้าคนกลาง เห็นได้จากที่ผ่านมารัฐบาลต้องใช้งบประมาณปีละ 150-200 ล้านบาทผ่านทางกระทรวงพาณิชย์เพื่อกำกับดูแลเอเฟทมาโดยตลอด
ขณะที่ทีเฟคเป็นบริษัทลูกของตลาดหลักทรัพย์ฯเป็นบริษัทจำกัดคำนึงถึงเรื่องกำไรขาดทุนในการดำเนินงานเป็นสำคัญ การพิจารณาเลือกสินค้าเข้ามาทำการซื้อขายจึงยึดโยงอยู่กับสินค้ากระแสที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรเป็นหลัก และมีราคาอ้างอิงในตลาดโลกอยู่แล้ว อาทิ ทองคำหรือนํ้ามันดิบ เป็นต้น

“จากต้องแข่งขันกับนายหน้าเดิมในตลาดทีเฟค ซึ่งมีขนาดของธุรกิจต่างกันมาก รวมทั้งต้นทุนบริหารจัดการที่สูงขึ้น ในที่สุดต้องปิดตัวลงโดยปริยาย”

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,286 วันที่ 10 -12 สิงหาคม พ.ศ. 2560