รอยัล ปอร์ซเลน รีเฟรชแบรนด์ หลังหยุดทำตลาดกว่า 10 ปี เดินหน้าชูคอร์ปอเรตแบรนด์ สร้างความชัดเจนและจดจำ พร้อมลุยตลาดในประเทศหวังดันยอดขายทะลุ 2,000 ล้าน
นายธนะพงศ์ วามานนท์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท รอยัล ปอร์ซเลน จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าจาน ชามเซรามิก แบรนด์รอยัลปอร์ซเลน (Royal Porcelain) เปิดเผยว่า หลังจากบริษัทได้หยุดทำตลาดมานานกว่า 10 ปี ในปีนี้จึงได้มีนโยบายหันกลับมาทำตลาดอีกครั้ง โดยเริ่มต้นจากการรีเฟรชแบรนด์ใหม่ จากเดิมที่มีสินค้าผลิตและจำหน่าย 5 แบรนด์ได้แก่ รอยัล ปอร์ซเลน (Royal Porcelain) โบนไชน่า (Bone China) ไฟน์ ไชน่า (Fine China) ปอร์ซเลน (Porcelain) และแมกซาดูรา (Maxadura) โดยให้เหลือเพียงแบรนด์หลักเพียงแบรนด์เดียว ได้แก่ แบรนด์รอยัล ปอร์ซเลน สำหรับการทำตลาดและสื่อสารการตลาด สร้างแบรนด์ให้เกิดความชัดเจน และผู้บริโภคจดจำได้ง่ายมากขึ้น ส่วนที่อีก 4 ?แบรนด์ที่เหลือจะใช้เป็นซีรีส์สินค้าแทน
“สินค้าจาน ชาม เซรามิก หรือเทเบิล แวร์ ในไทย สินค้าบริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดกว่า 50% แต่มูลค่าตลาดยังไม่มี?ความชัดเจนว่ามีมูลค่าเท่าไร โดยประเมินว่าภาพรวมตลาดเติบโตในอัตรา 2-3% ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดโลก ซึ่งในไทยแบรนด์สินค้าที่ทำตลาดหลักๆ อยู่แค่ 2 แบรนด์ ส่วนที่เหลือเป็นแบรนด์เล็กๆ ที่ทำตลาดไม่มากนัก ซึ่งช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาบริษัทได้ทำการสำรวจตลาด พบว่าผู้บริโภครู้จักแบรนด์รอยัล ปอร์ซเลน แต่อาจจะสับสนกับสินค้าแบรนด์โบน ไชน่า ที่เข้าใจว่าเป็นสินค้าจากประเทศจีน ทำให้บริษัทกลับมารีเฟรชแบรนด์ใหม่เพื่อความชัดเจน โดยจะสื่อสารด้วยแบรนด์รอยัล ปอร์ซเลนเป็นคอร์ปอเรตแบรนด์เป็นหลัก”
[caption id="attachment_184993" align="aligncenter" width="335"]
ธนะพงศ์ วามานนท์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท รอยัล ปอร์ซเลน จำกัด (มหาชน)[/caption]
สำหรับแนวทางการตลาดจะหันมาให้ความสำคัญกับตลาดภายในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงจากการส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ ซึ่งการขายภายในประเทศจะมีอัตรากำไรที่มากกว่า โดยจะเน้นการสื่อสารการตลาดไปยังกลุ่มเป้าหมายหลัก ทั้งกลุ่มลูกค้าองค์กร (B2B) และกลุ่มผู้บริโภค (B2C) ซึ่งจะมุ่งเน้นการสร้างแบรนด์และการนำสินค้าไปใช้งานให้เหมาะสม พร้อมกันนี้ยังเตรียมเพิ่มตัวแทนจำหน่ายในพื้นที่ต่างจังหวัดมากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ปัจจุบันบริษัทมีตัวแทนจำหน่าย 15 ราย และผู้ซื้อแฟรนไชส์ 3 แห่ง ในปีหน้าจะเพิ่มตัวแทนขึ้นอีก 2 แห่ง ส่วนช่องทางการจัดจำหน่ายนอกจากการผ่านตัวแทนจำหน่ายแล้ว ยังมีการจำหน่ายผ่านช่องทางห้างสรรพสินค้าด้วย
นายธนะพงศ์ กล่าวอีกว่า ทิศทางการเติบโตด้านรายได้ ในปีนี้คาดว่าจะมียอดขายรวม 1,700 ล้านบาท แบ่งเป็นตลาดภายในประเทศสัดส่วน 30% และตลาดส่งออกสัดส่วน 70% ส่วนในปีที่ผ่านมามียอดขายรวม 1,600 ล้านบาท แบ่งเป็นตลาดในประเทศสัดส่วน ?20% หรือมียอดขาย 400 ล้านบาท ส่วนตลาดต่างประเทศมียอดขายสัดส่วน 80% หรือมียอดขาย 1,200 ล้านบาท โดยในอนาคตบริษัทพยายามผลักดันให้มียอดขายรวม 2,000 ล้านบาท เหมือนในช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมา
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,282 วันที่ 27 - 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2560