ธุรกิจนำเข้าเคมีเกษตรแข่งเดือด 6 เดือนแรกปีนี้ คาดยอดนำเข้าสูงกว่าปีก่อน “บิ๊กซินเจนทา” ผวากรมวิชาการเกษตร ไม่ต่ออายุทะเบียน “พาราควอต” สะเทือนเป้ายอดขาย 5.5 พันล้านสะดุด บิ๊กบอสดิ้นอ้างความต้องการเกษตรกรไทยสูง 87 ประเทศทั่วโลกนิยมใช้
นับตั้งแต่ปี 2555-2559 พบว่าสถานการณ์การใช้สารเคมีทางการเกษตรของประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะปีนี้หลายสำนักพยากรณ์ว่า ปริมาณฝนจะมาเป็นปกติทำให้เกษตรกรกว่า 12 ล้านครัวเรือนลงมือเพาะปลูกได้ ขณะที่ธุรกิจสารเคมีเพื่อการเกษตรมูลค่ากว่า2หมื่นล้าน แข่งขันรุนแรงขึ้น
นายปราโมทย์ ติรไพรวงศ์ นายกสมาคมคนไทยธุรกิจเกษตร เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่าธุรกิจนำเข้าเคมีเกษตรปี 2560 คาดว่าจะเติบโตจากปีที่แล้ว เนื่องจากฤดูฝนมาปกติ ขณะที่ปีที่แล้วแล้ง น้ำไม่มี การใช้เคมีเกษตรจึงน้อยลง อย่างไรก็ดีปีนี้ทางสมาคมได้ร่วมกับกระทรวงเกษตร ในโครงการประชารัฐ โดยลดราคา สารเคมีในส่วนของยาป้องกันหรือกำจัดศัตรูพืช 7 สาร ประกอบด้วย ไกลโฟเสต 48% SL, พาราควอต 27.6% SL, บิวทาคลอร์ 60% EC, 2,4-ดี 95%, โพรทานิล,บิสไพริแบก-โซเดียม 10% SC และเพรทิลลาคลอร์ 30% EC ผ่านตลาดนัดจำหน่ายปุ๋ยและเคมีภัณฑ์ มี 4 ครั้ง ได้แก่ ครั้งที่ 1. จังหวัดสุราษฎร์ธานี วันที่ 18 กรกฎาคม ครั้งที่ 2 จังหวัดอุบลราชธานี วันที่ 19 กรกฎาคม ครั้งที่ 3 จังหวัดชัยนาท วันที่ 20 กรกฎาคม และครั้งสุดท้ายวันที่ 20 กรกฎาคม ที่จังหวัดพิษณุโลก
สอดคล้องกับนางสาววัชรีภรณ์ พันธุ์ภูมิพฤกษ์ นายกสมาคมอารักขาพืชไทย กล่าวว่า ปีนี้มองว่าปริมาณน้ำฝนมาปกติ พืชเศรษฐกิจหลักของไทยมีพื้นที่เท่าเดิม ดังนั้นการใช้สารเคมีคาดว่าจะดีขึ้น เมื่อเทียบกับปีที่แล้วที่ปริมาณฝนทิ้งช่วง แหล่งข่าวจากกลุ่มบริษัทซินเจนทา ประเทศไทยฯ เปิดเผยว่า ขณะนี้สารพาราควอต ของกลุ่มบริษัททะเบียนใกล้หมดอายุประมาณกรกฎาคมนี้ จะต้องเร่งต่ออายุขึ้นทะเบียนใหม่ แต่ก็กังวลว่า ทางกรมวิชาการเกษตรจะไม่ต่อให้ เนื่องจากทางกระทรวงสาธารณสุขและกลุ่มเอ็นจีโอ อยากให้ประเทศไทยยกเลิกใช้สารดังกล่าว เพราะกังวลว่าจะตกค้างถึงผู้บริโภคและส่งผลกระทบกับสิ่งแวดล้อม
[caption id="attachment_176076" align="aligncenter" width="503"]
นำเข้า‘เคมีเกษตร’ยอดพุ่่ง ‘ซินเจนทา’ผวาไม่ต่ออายุพาราควอตหวั่นวืดเป้า[/caption]
สำหรับผลประกอบการบริษัทฯปีที่แล้วยอดขายอยู่ที่ 5,000 ล้านบาท ปีนี้คาดว่าจะเติบโต 10% หรือมีประมาณ 5,500 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายที่มาจากสารอารักขาพืช 70% ของยอดขายรวม ส่วนพาราควอต 20% ของยอดขายรวม หากกรมวิชาการเกษตรไม่ต่ออายุขึ้นทะเบียนใหม่ เกรงว่าจะกระทบเป้ายอดขายดังกล่าวได้
ด้านนายธนัษ อภินิเวศ ผู้อำนวยการ กลุ่มบริษัท ซินเจนทา ประเทศไทยฯ เปิดเผยว่า ธุรกิจผลิตภัณฑ์อารักขาพืชหรือที่เรียกกันทั่วไปว่าสารเคมีเกษตร และธุรกิจเมล็ดพันธุ์ของซินเจนทามีสัดส่วนการตลาดในประเทศไทยเป็นอันดับ 1 ธุรกิจสารเคมีเกษตรนั้นมีการส่งออกผลิตภัณฑ์ส่วนหนึ่งให้กับบริษัทในเครือ ในประเทศแถบเอเชีย ขณะที่กว่า80 % ของธุรกิจเมล็ดพันธุ์ของซินเจนทาคือเมล็ดข้าวโพด
หนึ่งในสินค้ากลุ่มสารอารักขาพืชของซินเจนทาคือ สารพาราควอตซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่เกษตรกรอย่างแพร่หลายในพืชเศรษฐกิจหลักของไทย อาทิ ข้าวโพด ยางพารา อ้อย มันสำปะหลังและปาล์มน้ำมัน ซึ่งเป็นที่ยอมรับและให้ความไว้วางใจในผลิตภัณฑ์มายาวนานกว่า 50 ปี ปัจจุบันได้รับการจดทะเบียนและใช้ในกว่า 87 ประเทศทั่วโลก ทั้งนี้รวมถึงประเทศที่พัฒนาแล้วเช่น สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น ส่วนประเด็นที่มีการกล่าวอ้างถึงผลข้างเคียงทางด้านสุขภาพต่อผู้ใช้สารพาราควอตนั้นยังไม่มีผลพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจน องค์การอนามัยโลก(WHO) ยังไม่รับรองในผลวิจัยนี้ และจัดให้พาราควอตอยู่ในกลุ่มสารที่ไม่อันตรายสูง
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,277 วันที่ 9 - 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2560