หากมองลึกลงไปในฉากหลังแห่งโลกาภิวัฒน์ ความสามารถและประสบการณ์อันเลื่องลือของประเทศญี่ปุ่น นับเป็นตัวแปรสำคัญในการก่อร่างสร้างเสริมโครงสร้างพื้นฐานของหลายๆ ประเทศ ซึ่งพยายามก้าวตามพลวัตรความเจริญเติบโตของเศรษฐกิจโลกให้ทัน ยกตัวอย่างกรณีของ “เวียดนาม” ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการขยายตัวของ GDP รวดเร็วที่สุดในโลกนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1990 เป็นต้นมา
ในเวียดนาม ทางพิเศษเชื่อมต่อสู่ทางใต้ของประเทศ ความยาว 1,811 กิโลเมตร กำลังอยู่ในขั้นตอนการก่อสร้าง นอกจากนี้ยังมีเส้นทางพิเศษระยะทาง 55 กิโลเมตร ซึ่งเชื่อมต่อระหว่าง นครโฮจิมินห์ สู่ใจกลางเมืองอุตสาหกรรม ในเมืองด๋องนาย อันเป็นการย่นระยะเวลาการเดินทาง 3 ชั่วโมงเหลือเพียงชั่วโมงเดียว เส้นทางพิเศษเหล่านี้มี ระบบ ITS (Intelligent Transportation Systems) หรือ ระบบขนส่งและจราจรอัจฉริยะ ซึ่งผ่านกระบวนการคิดและติดตั้งจากพันธมิตรญี่ปุ่น เป็นกลไกดำเนินงานที่สำคัญ
ระบบขนส่งและจราจรอัจฉริยะสำหรับองค์กรการทางพิเศษแห่งเวียดนาม (Vietnam Expressway Corporation) เป็นหนึ่งในโครงการความร่วมมือระหว่างบริษัทญี่ปุ่น ซึ่งเป็นการร่วมกันครั้งแรกเพื่อสรรสร้างระบบขนส่งและจราจรอัจฉริยะอันครอบคลุมในทุกด้านแก่ลูกค้าต่างประเทศ ในส่วนของอุปกรณ์ต่างๆได้รับการตรวจสอบและติดตั้งอย่างเข้มงวดในประเทศญี่ปุ่น และมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
รถจักรยานยนต์ และจักรยาน เป็นรถโดยสารหลักของผู้คนชาวเวียดนามมาเป็นเวลาช้านาน แต่ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วก็ทำให้มีการเปลี่ยนไปใช้รถยนต์และรถเอนกประสงค์ (SUV) มากขึ้น ทำให้เส้นทางถนนสัญจรมีความแออัดมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งเวียดนามก็ประสบกับปัญหาการจราจรติดขัดในทุกๆวัน ดังนั้น จึงมีความจำเป็นจะต้องนำเอาระบบขนส่งและจราจรอัจฉริยะมาใช้ เพื่อทำให้การสัญจรมีประสิทธิภาพมากขึ้นและเป็นการเพิ่มจำนวนเส้นทางสัญจรมากขึ้น เช่น ทางด่วน ทางด่วนพิเศษ และเส้นทางการเดินทางอื่นๆ
นายอัตสุชิ คาวามิ วิศวกรระบบทางหลวงและการจราจร หน่วยงานทางระบบบริการและโครงสร้างพื้นฐาน ของบริษัท โตชิบา ซึ่งเป็นพันธมิตรหลักในโครงการ เปิดเผยว่า ตลาดอย่างเวียดนามมีศักยภาพมาก เนื่องจากการสร้างถนนและเส้นทางสัญจรกำลังเป็นประเด็นหลักในการพัฒนาประเทศ จุดนี้ทำให้ โตชิบาสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการช่วยดูแลและจัดการระบบควบคุมการจราจร รวมทั้งระบบเก็บค่าผ่านทาง
“หัวใจของระบบขนส่งและจราจรอัจฉริยะ คือเทคโนโลยีการประมวลผลข้อมูลอันล้ำหน้า สำหรับใช้ในการประมวลผลแบบครบวงจรในข้อมูลส่วนของจำนวนประชากร เส้นทางการจราจร จำนวนยานพาหนะ และอื่นๆ เพื่อช่วยลดการติดขัดบนเส้นทางการเดินรถอันก่อให้เกิดความไม่สะดวกแก่ผู้ใช้ อาทิ การเฉี่ยวชน อุบัติเหตุต่างๆ และอุปสรรคอื่นๆในการขับขี่” นายคาวามิกล่าว
โครงการนี้เกี่ยวข้องกับระบบจัดเก็บค่าผ่านทาง และกระบวนการติดตั้งเครื่องตรวจจับยานพาหนะ เพื่อตรวจวัดการเคลื่อนตัวของการจราจรและบันทึกข้อมูลอัตโนมัติทันที 52 จุด นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งกล้องเพื่อคอยเฝ้าระวังใน 16 พื้นที่ มีการติดตั้งเซนเซอร์ตรวจวัดสภาพอากาศ และเครื่องมือสื่อสารแบบไร้สาย สำหรับเจ้าหน้าที่ที่ควบคุมระบบบนทางด่วน
ระบบขนส่งและจราจรอัจฉริยะเป็นที่รู้จักกันดีในประเทศญี่ปุ่น จึงทำให้มีผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้อยู่เป็นจำนวนมาก แต่ในตลาดต่างประเทศเช่น เวียดนาม ระบบนี้ยังคงเป็นสิ่งใหม่และยังไม่เป็นที่รู้จัก แต่ถึงแม้จะมีอุปสรรคที่คาดไม่ถึงบ้าง ผู้ร่วมโครงการทั้งหมดยังคงมีพลังบวกและความเชื่อมั่นเต็มเปี่ยม
“ผมคิดว่า จุดแข็งของบริษัทญี่ปุ่นคือ ความเข้มงวดในคุณภาพ ขณะที่จุดแข็งของบริษัทเวียดนาม คือ ความมีประสิทธิภาพและความสร้างสรรค์ เนื่องด้วยบุคลากรที่ยังอายุน้อยและกระตือรือร้น ทีมงานทางเวียดนามสามารถนำเสนอแนวความคิดที่เยี่ยมยอดบางอย่างซึ่งพวกเราก็นึกไม่ถึง เช่น การตัดสินใจใช้ โดรน (drone) ในการเลือกสถานที่ที่จะติดกล้องวงจรปิด” นายคาวามิกล่าวสรุปว่า
ทางพิเศษความยาวรวม 1,811 กิโลเมตรในประเทศเวียดนาม กำลังอยู่ในขั้นตอนการก่อสร้าง และ ระบบ ITS (Intelligent Transportation System) หรือ ระบบขนส่งและจราจรอัจฉริยะ ซึ่งพัฒนาโดยฝ่ายญี่ปุ่นนี้ ได้ถูกนำมาใช้ในโครงการทางด่วน ระยะทาง 55 กิโลเมตร ศาสตร์แห่งศิลป์ของระบบการจัดการจราจรอัจฉริยะนี้จะเป็นส่วนสำคัญในการวางรากฐานระบบโครงสร้างพื้นฐานทางสังคมให้แก่ประเทศกลุ่มเศรษฐกิจเกิดใหม่ต่อไปอย่างแน่นอน