เอ็นพีแอล‘รถคันแรก’พุ่ง

29 มิ.ย. 2560 | 07:20 น.
อัปเดตล่าสุด :29 มิ.ย. 2560 | 13:26 น.
สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ ตีแสกหน้านโยบายรถคันแรก หนี้เสียบานเบอะ เหตุบังคับให้เด็กรุ่นใหม่ก่อหนี้โดยไม่มีความพร้อม เผยไทยขึ้นแท่นอันดับ 3 หนี้ครัวเรือนสูงในเอเชีย-แปซิฟิก รองจากเกาหลี-ออสเตรเลีย กลุ่มวัยทำงาน-วัยเกษียณก่อหนี้สูง-หนี้เสียอื้อ พบหนี้เฉลี่ยสูง 1.5 แสนบาทต่อราย

นางโสมรัศมิ์ จันทรัตน์ และนางสาวอัจจนา ลํ่าซำ หัวหน้ากลุ่มงานวิจัย สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ (สศป.) นำเสนอผลงานวิจัยเรื่อง “มุมมองใหม่หนี้ครัวเรือนไทยผ่าน Big Data ของเครดิตบูโร” ว่า แม้ว่าระดับหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีลดลงจากระดับ 81.2% ณ ธันวาคม 2558 มาอยู่ที่ 79.9% ณ ธันวาคม 2559 แต่สัดส่วนหนี้ระดับดังกล่าวยังคงอยู่ในระดับสูงเป็นอันดับต้นๆของเอเชียและโลก

อย่างไรก็ตามหากดูสัดส่วนหนี้ครัวเรือนตามการคำนวณของธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ หรือ BIS ไทยจะมีสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีอยู่ที่ระดับ 71.2% ณ ไตรมาสที่ 3 ปี 2559 ถือเป็นสัดส่วนหนี้ครัวเรือนที่สูงเป็นอันดับที่ 3 ของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก รองจากอันดับที่ 2 อย่างประเทศเกาหลีที่มีหนี้ครัวเรือนอยู่ที่ 91.6% และอันดับที่ 1 จะเป็นประเทศออสเตรเลียอยู่ที่ 123%

ข้อมูลรายบัญชีที่ถูกเก็บอย่างเป็นระบบตั้งแต่ปี 2552 ถึงเดือนกรกฎาคม 2559 จากสถาบันการเงินรวม 90 แห่ง มีข้อมูลสินเชื่อกว่า 60.5 ล้านบัญชี ของผู้กู้ 19.3 ล้านรายทั่วประเทศ โดยมียอดหนี้รวมถึง 9.8 ล้านล้านบาท (ไม่นับรวมหนี้สหกรณ์-สินเชื่อกู้ยืมเพื่อการศึกษา) ซึ่งครอบคลุมหนี้ทุกกลุ่มมากกว่า 87%

สถานการณ์หนี้รายคน จะพบว่าสัดส่วน 1 ใน 3 ของประชากรประเทศไทยมีหนี้เฉลี่ย 1.5 แสนบาทต่อราย และหนี้เสียมี 1ใน 5 เป็นหนี้ค้างชำระเกิน 90 วัน หรือเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) โดยมีหนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 5 หมื่นบาทต่อราย

app-TP14-3077-A แยกตามประเภทสินเชื่อ พบว่า สินเชื่อส่วนบุคคล มีหนี้สูงเป็นอันดับแรกที่ระดับ 17% บัตรเครดิต 9% และสินเชื่อที่อยู่อาศัย 4% และหากแยกสินเชื่อที่เป็นหนี้เสีย พบว่า สินเชื่อส่วนบุคคลมีสัดส่วนประมาณ 10% สินเชื่อที่อยู่อาศัยน้อยสุด 4% และเป็นหนี้เสียมากในกลุ่มวัยเด็กและทำงานที่มีอัตราหนี้เสียสูงถึง 20%

ขณะเดียวกันจากนโยบายกระตุ้นต่างๆ อาจจะต้องมีความระมัดระวังด้วยเช่นกันในการก่อหนี้ เพราะพบว่านโยบายบางจุดอาจทำให้เกิดหนี้เสียได้ เช่น กรณีนโยบายรถคันแรก จะพบว่าหลังมีนโยบายพบหนี้เสียเกิดจากนโยบายดังกล่าวเยอะมาก โดยเฉพาะในกลุ่มเด็ก-วัยเริ่มทำงานที่ก่อหนี้ก่อนความพร้อม เช่นเดียวกับหนี้สินเชื่อรถจักรยานยนต์ที่มีหนี้เสียสูงถึง 30-40% แม้ว่าสินเชื่อจะมีสัดส่วนเพียง 2% อาจจะไม่เห็นผลกระทบมาก แต่ก็เป็นความเปราะบางได้ จึงเป็นสินเชื่อ 2 กลุ่มที่ยังต้องให้ความระมัดระวัง

นโยบายรถคันแรกเกิดขึ้นในสมัยรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ให้สิทธิคืนภาษีสูงสุด 100,000 บาทต่อคันแก่ผู้จองซื้อรถราคาไม่เกินคันละ 1 ล้านบาท ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2554-31 ธันวาคม 2555 โดยมีผู้ขอใช้สิทธิ์รวมกัน 1.2 ล้านคัน และเป็นเงินที่รัฐบาลต้องควักภาษีจ่ายแก่ประชาชนที่ซื้อรถคันแรก 86,840 ล้านบาท

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,274
วันที่ 29 มิถุนายน - 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2560