จุดเริ่มต้นจากร้านขายก๋วยจั๊บญวนสูตรอุบลราชธานี แบบดั้งเดิมแท้ๆในตลาดใจกลางเมืองอุบลฯ ทำกันเป็นธุรกิจครอบครัว ต่อยอดมาสู่การนำนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้เพื่อแปรรูปเส้นก๋วยจั๊บให้กลายเป็นแบบสำเร็จรูป ซึ่งได้รับการอนุญาต (License) จากอาจารย์จิตรา สิงห์ทองอาจารย์ประจำคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี จนกลายเป็นธุรกิจขนาดย่อม และกำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่องโดยนำจุดเด่นความเป็นก๋วยจั๊บอุบลฯรสชาติแบบดั้งเดิมต้นตำหรับมาเป็นตัวชูโรง พร้อมเครื่องเคียงที่ประกอบไปด้วย หมูยอ หอมเจียว ซึ่งใช้วิธีการ Freeze Dried ทำให้เก็บไว้ได้นานยิ่งขึ้น
ภายใต้แนวคิดในการบริหารธุรกิจด้วยความใส่ใจ และมองว่าธุรกิจเป็นสิ่งที่มีชีวิตเสมือนเป็นคนในครอบครัว ทำให้การบริหารงานของ"มนัสชญาณ์ อู่สมบัติชัย" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทดีไลท์88จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายก๋วยจั๊บกึ่งสำเร็จรูป แบรนด์ "จั๊บจั๊บ" เป็นไปด้วยความสนุก สามารถจินตนาการรูปแบบในการทำตลาดได้อย่างไร้ขอบเขต และมีเป้าหมายในการดำเนินการที่ชัดเจน
-
เล็งรายได้ 12-15 ล.ปี 60
มนัสชญาณ์ กล่าวกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่าจั๊บจั๊บ เริ่มทำตลาดและวางจำหน่ายประมาณช่วงเดือนกรกฎาคม 2559 โดยได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค จากเริ่มต้นที่มีรายได้อยู่ที่ประมาณหลักหมื่น จนสามารถทำยอดขายอยู่ได้ที่ประมาณ 3 แสนบาทต่อเดือนในปีที่ผ่านมา และกำลังเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน โดยในปีนี้ตั้งเป้ารายได้ราว1 ล้านบาทต่อเดือนหรือประมาณ 12-15 ล้านบาทในปี 2560 ซึ่งปัจจัยสำคัญจะมาจากการขยายช่องทางในการจำหน่ายสินค้าโดยเตรียมที่จะนำผลิตภัณฑ์เข้าจำหน่ายในร้านเซเว่นอีเลฟเว่น ซึ่งในเบื้องต้นจะเริ่มเฉพาะสาขาในจังหวัดอุบลราชธานีในเดือนมิถุนายนนี้ หลังจากนั้นเมื่อได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคก็จะขยายไปสู่สาขาทั่วประเทศ
[caption id="attachment_152099" align="aligncenter" width="302"]
‘จั๊บจั๊บ’ กับนวัตกรรมปั้นแบรนด์ สู่เป้ารายได้ 100 ล้าน[/caption]
พร้อมกันนี้ ยังดำเนินงานควบคู่กันไปในการขยายช่องทางการจำหน่ายไปสู่ร้านจำหน่ายของฝากในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตามร้านที่มีศักยภาพของแต่ละจังหวัด จากเดิมที่มีจำหน่ายอยู่ที่ร้านของฝากในจังหวัดอุบลราชธานี ,ขอนแก่นในสนามบิน ,หนองคาย และอุดรธานีที่ร้าน VT แหนมเนือง โดยปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการเจรจาความเหมาะสม เพราะการทำธุรกิจร่วมกันจะต้องช่วยส่งเสริมซึ่งกันและกัน ขณะที่ในลำดับต่อไปจะขยายไปสู่ร้านจำหน่ายของฝากทั่วประเทศ แต่ก็จะต้องขึ้นอยู่กับเงื่อนไขและกฎเกณฑ์ของแต่ละจังหวัดด้วย เนื่องจากอาจมีข้อกำหนดให้จำหน่ายเฉพาะของฝากในพื้นที่เท่านั้น
-
ตั้งเป้า3-5 ปีแตะ 100 ล้าน
อย่างไรก็ตามบริษัทตั้งเป้าว่าใน3-5ปี นับจากนี้ไป จะสามารถสร้างรายได้ให้กับบริษัทได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ที่ 100 ล้านบาท หลังจากที่มีการขยายตลาดไปยังกลุ่มลูกค้ามุสลิมและยังมองตลาดประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) โดยระหว่างนี้กำลังดำเนินการขอมาตรฐาน GMP (Good Manufacturing Practice) หรือหลักเกณฑ์วิธีการที่ดีสำหรับการผลิต เป็นการจัดการสภาวะแวดล้อมขั้นพื้นฐานของกระบวนการผลิตให้เสร็จเรียบร้อยก่อน และเตรียมขอเครื่องหมายฮาลาลรับรองผลิตภัณฑ์
เมื่อได้เครื่องหมายฮาลาลรับรองบริษัทยังสามารถนำผลิตภัณฑ์ไปจำหน่ายในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ ซึ่งบริษัทมีพันธมิตรร่วมธุรกิจที่พร้อมจะเข้าไปทำตลาดให้ โดยวางเป้าหมายไว้ที่การเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ เนื่องจากผู้ที่จะเดินทางจะต้องมีการเตรียมเสบียงอาหารแห้ง หรือกึ่งสำเร็จรูปไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งผลิตภัณฑ์ของบริษัทจะตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี
-
วางเป้าใหญ่เข้า ตลท.
มนัสชญาณ์กล่าวต่อไปว่า เป้าหมายใหญ่ของบริษัทคือการเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) แต่ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของบริษัท ณ เวลานั้นด้วย เพราะหากอนาคตบริษัทมีรายได้ และมีการส่งออกไปต่างประเทศจำนวนมากก็อาจจะไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเข้า ตลท. เพื่อระดมทุนเนื่องจากจะเห็นได้ว่ามีหลายบริษัทในประเทศไทยที่มีขนาดใหญ่ มีรายได้จากการส่งออกสินค้าไปขายยังต่างประเทศก็ไม่ได้เข้า ตลท.
โดยการเข้า ตลท. จะต้องมีขั้นตอนการเตรียมตัวที่ค่อนข้างมาก แม้จะทำให้มีรายได้เพิ่มจริง แต่ก็มาพร้อมกับความกดดันในตัวเอง ดังนั้น จึงไม่ได้ปักธงลงไปว่าจะต้องเข้า ตลท. และเมื่อถึงเวลานั้นอาจมีการเปลี่ยนกลยุทธ์อีกก็ได้
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,263 วันที่ 21 - 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2560