ธุรกิจขายตรงเร่งแคมเปญ งัดสารพัดกลยุทธ์ดันเป้า8%
ทิศทางธุรกิจขายตรงส่งสัญญาณบวกที่ดี แม้ว่าจะมีข่าวแชร์ลูกโซ่เกิดขึ้น เพราะไตรมาสแรกที่อัตราการเติบโตได้ถึง 3% จากช่วงหลายปีที่ผ่านมาธุรกิจขายตรงไม่เติบโต และยังประเมินว่าปีนี้จะเติบโตได้ 5-8% จากปีที่ผ่านมามีมูลค่า 6.93 หมื่นล้านบาท โดยช่วงไตรมาส 2-3 จะเป็นช่วงที่บริษัทขายตรงวางแผนทำตลาดอย่างหนัก เพื่อสร้างการเติบโตให้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
ดันเอ็กซ์โปสร้างยอด
สำหรับนู สกิน ได้วางแผนรุกตลาดอย่างต่อเนื่อง หลังจากช่วงไตรมาสแรกเปิดตัวสินค้านวัตกรรม เอจ ล็อค มี (ageLOC ME) ไปแล้ว และในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ ได้เตรียมกิจกรรมสนับสนุนผู้แทนจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง อาทิ การจัดโปรแกรมอินเซนทีฟ ทริป ที่ถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ของแผนธุรกิจ และเพื่อเป็นรางวัลให้กับผู้แทนจำหน่ายในการผลักดันยอดขายให้เติบโตตามเป้าหมาย ที่ในปีนี้คาดว่ามีผู้แทนจำหน่ายที่ประสบความสำเร็จขึ้นแท่นเป็นผู้บริหารเพิ่มขึ้น 10% และจะมียอดสมาชิกเพิ่มขึ้นตลอดทั้งปีอีกประมาณ 10%
นอกจากนี้ ยังจัดกิจกรรม นู สกิน เอ็กซ์โป ต่อเนื่อง นับจากช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ได้รับการตอบที่ดีและเป็นกิจกรรมที่ช่วยกระตุ้นยอดขายให้กับบริษัทอย่างมาก ในปี 2560 ซึ่งปีนี้จะจัดขึ้นทุกๆ 3 เดือน ตลอดทั้งปี ที่ศูนย์บริการ นู สกิน 4 แห่ง ทั่วประเทศ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร (อาคารจัตุรัสจามจุรี) เชียงใหม่ โคราช และ หาดใหญ่ สำหรับกิจกรรมภายในงานเน้นการให้คำปรึกษาด้านการดูแลสุขภาพผิว การสาธิตผลิตภัณฑ์ระดับนวัตกรรม และโปรโมชั่นเอาใจสมาชิกอีกมากมาย โดยในปีนี้ นู สกิน ยังคงชูสินค้าไฮไลท์ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ เอจล็อค มี ซึ่งจะเป็นสินค้านวัตกรรมหลักที่จะช่วยสร้างยอดขายให้กับบริษัทตลอดทั้งปี โดยคาดว่ากิจกรรมเอ็กซ์โป จะสามารถสร้างยอดขายให้เติบโตขึ้นไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาท
ทุ่ม70ล.เปิดหนังโฆษณา
ขณะที่แบรนด์กิฟฟารีน เตรียมรุกทำตลาดอย่างหนักในช่วงไตรมาส 2-3 นี้ ไม่ว่าจะเป็นการจัดแคมเปญท่องเที่ยวต่างประเทศ การจัดสัมนาสู่เส้นทางเศรษฐี ที่เป็นการแนะนำพื้นฐานการทำธุรกิจ การแชร์ประสบการณ์ผู้ประสบความสำเร็จ การให้ความรู้การทำธุรกิจออนไลน์ และผลิตภัณฑ์ โดยจะจัดขึ้นทุกภูมิภาค ซึ่งกิฟฟารีนมั่นใจว่าจะช่วยทำให้นักธุรกิจและสมาชิก สามารถเข้าใจกระบวนการทำงานที่ถูกต้องและสร้างยอดธุรกิจได้เพิ่มมากขึ้น
การตลาดที่สำคัญอีกสิ่งหนึ่งที่กิฟฟารีนจะทำ คือ การเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ ที่เป็นการสร้างแบรนด์ให้คนได้รู้จัก หลังจากปีที่ผ่านมากิฟฟารีนหยุดทำโฆษณาไปหนึ่งปี ซึ่งปีนี้ได้เตรียมงบประมาณไว้ 60-70 ล้านบาท จากงบประมาณการตลาดรวม 100 ล้านบาท การสื่อสารและการทำตลาดจะทำแบบครบวงจร พร้อมกับเน้นในช่องทางออนไลน์มากขึ้น ด้วยสัดส่วนงบประมาณ 50% ของการตลาดจากปีที่ผ่านมาใช้เพียง 30% เท่านั้น และกิฟฟารีนยังเตรียมเปิดตัวสินค้าใหม่ออกมาทำตลาดอย่างต่อเนื่องด้วย
ชูระบบสัมมนา-สินค้าใหม่
ส่วนยูนิซิตี้ได้เตรียมแผนสร้างการเติบโต ไม่ว่าจะเป็นการเปิดตัวสินค้าใหม่ ยูนิ มาเต้ (Uni Mate) และผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ที่เชื่อมั่นว่าจะสร้างยอดขายให้เติบโต และผลประกอบการในปีนี้ในอัตรา 25-30% นอกเหนือจากความสามารถของทีมนักธุรกิจยูนิซิตี้ ที่มีกลยุทธ์การสัมมนาและสร้างความรู้ให้กับสมาชิก ด้วยระบบยูนิ เพาเวอร์ (Uni Power) ที่ปัจจุบันนักธุรกิจของไทยได้กลายเป็นต้นแบบให้นักธุรกิจยูนิซิตี้ในหลายประเทศนำเอาไปใช้ดำเนินธุรกิจสร้างการเติบโต ซึ่งสะท้อนให้เห็นได้อย่างชัดเจนจากช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา ภาพรวมของยูนิซิตี้ในไตรมาสแรกเติบโตในอัตรา 10-15% ด้วยผลสำเร็จจากการขยายงานของนักธุรกิจยูนิซิตี้ และระบบสนับสนุนของบริษัท ไม่ว่าจะเป็นการจัดงาน Global Convention ที่ประเทศสิงค์โปร์ที่มีขึ้นทุกๆ 2 ปี แต่สำหรับปีนี้ได้เปลี่ยนชื่องานเป็น Global Leadership Innovation Convention หรือ GLIC ที่จะเป็นกลยุทธ์สร้างให้เติบโตได้ตามเป้าหมายด้วย
ดูเหมือนว่าผู้ประกอบการธุรกิจขายตรงในปีนี้ จะต้องทำงานหนักและทำการตลาดในเชิงรุกเพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องแต่อย่างไรก็ตาม ด้วยปัจจัยของธุรกิจขายตรงที่ไม่ว่าสภาพเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร ก็ยังคงเติบโตต่อไปได้ด้วย 3 คีย์ซักเซสหลัก ได้แก่ 1. ธุรกิจขายตรงจับตลาดทุกกลุ่มเป้าหมาย 2. โมเดลธุรกิจขายตรงเป็นธุรกิจที่สร้างอาชีพและรายได้ให้กับประชาชนและ 3. ธุรกิจขายตรงปรับตัวเข้าสู่ช่องทางออนไลน์ ซึ่งสอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคคนรุ่นใหม่
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,258 วันที่ 4 - 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2560