‘วอริกซ์’ผงาดเอเชีย ระดมทุน 400 ล้านล่าสัญญาทีมชาติ/สโมสรดัง

19 เม.ย. 2560 | 06:00 น.
อัปเดตล่าสุด :19 เม.ย. 2560 | 13:30 น.
เปิดไทม์ไลน์ “วอริกซ์” แบรนด์น้องใหม่ผู้ล้มยักษ์คว้าลิขสิทธิ์ชุดช้างศึกทีมชาติไทย เตรียมระดมทุน 400ล้านล่าสัญญาทีมชาติและสโมสรดังทั้งใน-ตปท. กับเส้นทางตามฝัน 5 ปีขึ้นไป “คีย์เพลเยอร์สปอร์ตแวร์เอเชีย”

ชื่อของ "วอริกซ์" ดังเป็นพลุแตก เมื่อชนะการประมูลลิขสิทธิ์ชุดกีฬาทีมช้างศึก นักเตะทีมชาติไทย แซงหน้าแกรนด์สปอร์ตซึ่งถือครองมายาวนาน ด้วยตัวเลขสูงถึง 400 ล้านบาทต่อสัญญา 4 ปีสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์วงการกีฬาเมืองไทย ทำให้หลายฝ่ายต่างหันมามองว่า "วอริกซ์" คือใคร และเกมส์แข่งขันของตลาดชุดกีฬานับจากนี้จะเป็นอย่างไร

นายวิศัลย์ วนะศักดิ์ศรีสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท วอริกซ์ สปอร์ต จำกัด เจ้าของลิขสิทธิ์ชุดแข่งขันฟุตบอลทีมชาติไทย ผู้ผลิตและจำหน่ายชุดกีฬาแบรนด์ "วอริกซ์" เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า การทำตลาดของวอริกซ์ หลังจากที่บริษัทได้รับสิทธิ์ในการเป็นผู้ผลิตเครื่องแต่งกายให้กับสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ตั้งแต่ปี 2560-2563 จะเน้นการรุกทั้งในและนอกสนามแข่งขัน (on pitch/off pitch) โดยเริ่มตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา

ทันทีที่ก้าวเข้าเดือนมกราคม 2560 วอริกซ์เปิดตัวชุดแข่งขัน 2 แบบ คือชุดเหย้า "สีดำ-ไชยานุภาพ" และชุดเยือน "สีขาย-ปราบไตรจักร" ขณะที่เสื้อกีฬาชุดนักฟุตบอลจะมี 3 รุ่นได้แก่ Warrix Cheer Jersey ราคา 390 บาท Warrix Replica 890 บาท และ Warrix Authentic 1,990 บาท

"โมเดลธุรกิจที่วางไว้จะเป็นสากลทั้งสิ้น ทั้งคอลเลคชั่นชุดกีฬาก็จะมีรูปแบบเดียวกับทีมสโมสรชั้นนำในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เสื้อที่ให้แฟนบอลใส่กับเสื้อนักฟุตบอลจะแตกต่างกันไม่ใช่แบบเดียวกัน"

ทั้งนี้บริษัทเตรียมใช้งบลงทุนราว 30 ล้านบาท สำหรับเปิด "ช้างศึก เมกะสโตร์" ช็อปจำหน่ายชุดกีฬาทีมชาติ รวมถึงอุปกรณ์กีฬาต่างๆ เช่นเดียวกับสโมสรชั้นนำในต่างประเทศ บนพื้นที่กว่า 200 ตาราเมตร หลังสนามศุภชลาศัย และจะเปิดสาขาสองที่โคราช บนพื้นที่ 200 ตารางเมตรเช่นกัน เพื่อรองรับกลุ่มแฟนบอลที่ชื่นชอบทีมชาติไทย นอกจากนี้ยังเปิดวอริกซ์ ช็อป ร้านจำหน่ายสินค้ากีฬา อาทิ เสื้อ กางเกง รองเท้า ถุงเท้า ชุดลำรอง อุปกรณ์กีฬาต่างๆ ฯลฯ บนพื้นที่กว่า 200 ตารางเมตรเช่นกันในบริเวณติดกับช้างศึก เมกะสโตร์ในกรุงเทพฯด้วย พร้อมกับวางระบบจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ โดยร่วมเป็นพันธมิตรกับลาซาด้า เพื่อให้สามารถช็อปสินค้าได้ 24 ชั่วโมง

นอกจากนี้บริษัทยังแก้โจกย์การตลาด ด้วยการขยายช่องทางการจำหน่ายรูปแบบใหม่ๆ จากเดิมที่การจำหน่ายชุดกีฬาจะมุ่งไปที่ตัวแทนจำหน่ายหรือเทรดดิชั่นนอล เทรดซึ่งมีอยู่ราว 200-300 รายทั่วประเทศ หันมาจำหน่ายผ่านร้านสะดวกซื้ออย่างเซเว่น อีเลฟเว่นซึ่งมีสาขาอยู่ราว 1 หมื่นแห่งทั่วประเทศ รวมถึงร้านสเปเชียลตี้ โตร์หรือร้านจำหน่ายสินค้ากีฬาสมัยใหม่อย่างซูเปอร์สปอร์ต เป็นต้น โดยในปีนี้คาดว่าจะมีร้านจำหน่ายมากกว่า 1.2 หมื่นแห่งซึ่งจะทำให้ลูกค้าสามารถหาซื้อได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้น

"คอลเลคชั่นที่หลากหลายรูปแบบ และหลายระดับราคา รวมทั้งช่องทางจำหน่ายที่สะดวกจะเป็นการแก้ปัญหาสินค้าปลอม เพราะที่ผ่านมาพบว่าสินค้าปลอมจะมีราคาถูกกว่าสินค้าลิขสิทธิ์มาก และหาซื้อได้ยากแต่เมื่อมีราคาเริ่มต้นที่ 390 บาทและหาซื้อได้ง่ายตามเซเว่น อีเลฟเว่นทั่วไป การเพิ่มเงินอีกเล็กน้อยแต่ได้สินค้าลิขสิทธิ์ และได้เชียร์ทีมชาติไทยที่เขาชื่นชอบย่อมคุ้มค่ากว่าการเลือกซื้อของปลอมราคา 199 บาท" นายวิศัลย์กล่าวและว่า

ด้านการจัดโปรโมชั่น บริษัทเริ่มเปิดรับสมาชิกพร้อมกับจัดโปรโมชั่นพิเศษ ลุ้นแพ็คเกจทัวร์ญี่ปุ่นในช่วงเปิดตัวเสื้อกีฬาทีมชาติไทย และในอนาคตบริษัทจะจัดทำโปรโมชั่นต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นมีทแอนด์กรี๊ดนักฟุตบอลคนโปรด คลินิกสอนฟุตบอลแก่เยาวชนไทย เป็นต้น ซึ่งคาดว่าจะได้รับความสนใจ นอกจากนี้บริษัทยังใช้ลงทุนด้านการจัดวางระบบออนไลน์ เพื่อสื่อสารไปยังแฟนบอลทั้งในและต่างประเทศ และใช้งบการตลาดอีกว่า 30 ล้านบาทในการจัดกิจกรรมต่อเนื่อง เพื่อเจาะเข้าถึงกลุ่มแฟนบอลชาวไทยที่ติดตามชมและเชียร์ฟุตบอลทีมชาติไทยกว่า 30 ล้านคนด้วย

สำหรับแผนการทำตลาดต่อเนื่องในปีหน้า บริษัทเตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อระดมทุน 200-400 ล้านบาทมาใช้เป็นเงินตั้งต้นสำหรับเดินหน้าประมูลลิขสิทธิ์ชุดกีฬาทีมชาติประเทศต่างๆ และทีมสโมสรชั้นนำ โดยเริ่มจากทีมชาติมาเลเซีย ซึ่งจะหมดสัญญาในเร็วๆนี้ และบริษัทจะเข้าร่วมประมูลแข่งกับไนกี้ ซึ่งเป็นผู้ถือลิขสิทธิ์เดิม
การประมูลลิขสิทธิ์ทีมชาติไทยไม่ได้มองว่าเป็นสปริงบอร์ด แต่มองว่าเป็นการสร้างแบรนด์ เป็นการยกระดับมาตรฐานให้บริษัทสามารถผลิตสินค้าที่ดีขึ้นเพื่อป้อนสู่ตลาดญี่ปุ่น อังกฤษ ฯลฯ ซึ่งหลังจากที่บริษัทชนะการประมูล ล่าสุดบริษัทได้เซ็นสัญญาผลิตเสื้อกีฬาเมืองหนาววางจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่น และยังมีอีกหลายประเทศสนใจติดต่อเข้ามาไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์ บรูไน และทีมในยุโรป ถือเป็นโอกาสที่บริษัทไม่เคยได้รับมาก่อน จากในอดีตที่เป็นผู้ผลิตเสื้อกีฬาส่งออกไปจำหน่ายในมาเลเซีย ญี่ปุ่น ลาว เป็นต้น

นายวิศัลย์ย้ำกว่า การเข้าตลาดหลักทรัพย์จะเป็นสปริงบอร์ด ที่จะทำให้วอริกซ์มีกำลังทุนในการที่จะต่อสู้กับไนกี้ อาดิดาสได้ เป็นกำลังทุนที่จะใช้ในการล่าสัญญาใหญ่ๆในยุโรปได้ โดยเป้าหมายของบริษัทคือทีมชาติของประเทศในเอเชีย ทีมสโมสรชั้นนำในยุโรป เอเชีย ทั้งทีมในอังกฤษ ญี่ปุ่น เกาหลี และจีน

ด้านเป้าหมายธุรกิจภายใน 5 ปีนับจากนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายที่จะผู้เล่นคนสำคัญ (Key Player) ในธุรกิจสปอร์ตแวร์ระดับเอเชีย พร้อมกับขยายไลน์สินค้าให้ครอบคลุมและหลากหลาย โดยเริ่มขยายตลาดไปกลุ่มสินค้าหมวดวิ่งหรือรันนิ่งตั้งแต่ปีก่อน และในปีนี้มีแผนเปิดตัวรองเท้าวิ่งอีก 1 รุ่น พร้อมกับจะพัฒนาตลาดเสื้อผ้ากีฬา รองเท้า อุปกรณ์กีฬาเพิ่มขึ้น รวมทั้งขยายไปยังหมวดชุดลำลองในแนวเบสิคมินิมอลเช่นเดียวกับยูนิโคล่ และฟอร์มอลแวร์ เช่น เสื้อสูท เสื้อเชิ้ต ฯลฯ เครื่องหนัง เป็นต้น โดยบริษัทจะพัฒนาแบรนด์ให้เป็นซิกเนเจอร์ของประเทศไทย เช่นเดียวกับทีมชาติอังกฤษที่ต้องใช้ชุดสูทของมาร์คแอนด์สเปนเซอร์ หรือทีมชาติอิตาลีที่ต้องใช้อาร์มานี่นั่นเอง

ที่ผ่านมาวอริกซ์มียอดขายเติบโตเฉลี่ย 30% ต่อปี และตั้งเป้าหมายที่จะมียอดขายเติบโตขึ้น 2 เท่าตัว หลังจากที่คว้าลิขสิทธิ์ทีมชาติไทย โดยในไตรมาสแรกที่ผ่านมาบริษัทมียอดขายราว 170 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่ยังเป็นยอดขายจากชุดกีฬาแบรนด์วอริกซ์ ไม่ใช่ทีมชาติไทย ซึ่งบริษัทมียอดขายเสื้อทีมชาติในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมากว่า 3 แสนตัว หรือคิดเป็นยอดขาย 100 ล้านบาทต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้เล็กน้อย สาเหตุหลักมาจากผลการแข่งขันที่แพ้คู่แข่ง

อย่างไรก็ดี บริษัทเชื่อว่าในอีก 3 ไตรมาสที่เหลือ ซึ่งยังมีแมทซ์การแข่งขันอีกต่อเนื่อง ทั้งฟุตบอลโลกและคิงส์คัพ จะช่วยกระตุ้นให้บรรยากาศการซื้อกลับมาคึกคักขึ้น โดยบริษัทตั้งเป้าหมายที่จะผลิตสินค้าแบรนด์วอริกซ์ให้มากขึ้น เพื่อรองรับความต้องการของตลาด และคาดว่าจะมียอดขายเพิ่มขึ้นจากเดิมอีก 100 ล้านบาท ทั้งนี้เชื่อมั่นว่าจะมียอดขายเสื้อฟุตบอลทีมชาติไทย 1 ล้านตัวตามเป้าหมายที่วางไว้ และบริษัทยังปรับเป้าหมายผลประกอบการในปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 700 ล้านบาท จากเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ว่าจะมีรายได้ 600 ล้านบาท และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 1,000 ล้านบาทในปีหน้าด้วย

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,253 วันที่ 16 - 19 เมษายน พ.ศ. 2560