ไทยยินตันส่งสินค้าใหม่ชิงแชร์ตลาดลูกอม
ไทยยินตัน ปรับโฉมลูกอมนู้ด ชูสีสันและภาพลักษณ์ญี่ปุ่น หวังดันยอดโต 60% เล็งออกสินค้าใหม่ปลายปีชิงตลาดลูกอมเม็ดแข็ง
ตลาดลูกอมช่วงที่ผ่านมาถือว่ามีการแข่งขันที่รุนแรง จากการที่ผู้นำตลาดอย่าง ฮอลล์และคลอเร็ท ได้ออกสินค้าใหม่มาบุกตลาด และยังทำให้ภาพรวมตลาดลูกอมปีที่ผ่านมาที่มีมูลค่า 8,729 ล้านบาท เติบโตถึง 9% เมื่อแบรนด์ผู้นำตลาดได้รุกตลาดอย่างหนัก ลูกอมแบนด์ยินตัน นู้ด ที่อยู่ในตลาดมา 5 ปี จึงต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับการแข่งขันและสร้างยอดขาย ล่าสุด ได้ปรับแพ็คเกจจิ้งใหม่ให้มีความสดในและมีสไตล์แบบญี่ปุ่น นอกจากนี้ ยังได้เตรียมออกสินค้าใหม่ในกลุ่มลูกอมเม็ดแข็ง เพื่อมาทำตลาดสร้างยอดขายเพิ่มอีก 1 รายการด้วย
นายนริศ วิทยาวรากรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยยินตัน จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าแบรนด์ยินตัน เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า หลังจากได้เปิดตัวลูกอม "นู้ด แคปซูล ชูการ์ฟรี มินต์" ซึ่งเป็นกลุ่มลูกอมที่มีส่วนผสมของสมุนไพร ออกมาทำตลาดได้ 5 ปี และมีการเติบโตต่อเนื่องทุกปีในอัตรา 6-10% แต่เพื่อสร้างการเติบโตที่มากขึ้น และมีภาพลักษณ์ที่ดูพรีเมียม รวมถึงมีสไตล์ความเป็นสินค้าที่ผลิตจากประเทศญี่ปุ่นมากขึ้น จึงได้ปรับเปลี่ยนแพ็คเกจจิ้งใหม่ให้สอดคล้องกับภาพลักษณ์ดังกล่าว
โดยบริษัทได้เตรียมงบประมาณ 50 ล้านบาท ทำตลาดแบบครบวงจร ทั้งสื่อโฆษณา สื่อนอกบ้าน สื่อออนไลน์ การทำตลาด ณ จุดขาย รวมถึงการกระจายสินค้าไปยังช่องทางค้าปลีกต่างๆ ทั่วประเทศ หลังจากได้บริษัท ชิโน-แปซิฟิค เทรดิ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด เข้ามากระจายสินค้าให้ทั่ว ซึ่งคาดว่าหลังจากการปรับแพ็กเกจจิ้งใหม่ และการทำตลาดแบบครบวงจร จะช่วยสร้างยอดขายให้ลูกอมดังกล่าวในปีนี้เติบโตถึง 60% จากปีที่ผ่านมา
"ลูกอมที่ผสมสารสกัดสมุนไพรมีมูลค่า 3,694 ล้านบาท ปีที่ผ่านมาเติบโตประมาณ 4.2% จากปี 2558 ในปีนี้คาดว่าตลาดจะเติบโต 3-5% ส่วนบริษัทคาดว่าจะมีผลประกอบการโดยรวมเติบโต 30% โดยแบ่งเป็นยอดขายจากลูกอมนู้ด 60% ลูกอมยินตัน เม็ดเงิน สัดส่วน 10% ที่เหลือเป็นยาสีฟันน้ำและเสริมอาหารอีก 30%"
นายนริศ กล่าวอีกว่า ยังวางแผนออกสินค้าใหม่ในกลุ่มลูกอมเม็ดแข็งอีก 1 รายการ เพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้บริโภคและรองรับกับภาวะการแข่งขันของธุรกิจลูกอมในปีนี้ด้วย ซึ่งจะเป็นลูกอมกลุ่มชูการ์ฟรี ที่จับตลาดระดับเดียวกับลูกอมฮอลล์เอ็กซ์เอส ด้วยการวางจำหน่ายในระดับราคา 25 บาท คาดว่าจะเปิดตัวได้ในช่วงปลายปีนี้ นอกจากนี้ ยังเตรียมเปิดตัวสินค้ากลุ่มเสริมอาหาร ที่นำเข้าจากบริษัทพันธมิตรที่ประเทศญี่ปุ่นในช่วงปลายปีด้วย ขณะนี้อยู่ระหว่างการขอขึ้นทะเบียนกับทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) โดยนอกจากทำตลาดในประเทศไทยแล้ว ยังเตรียมขยายตลาดไปในอาเซียนด้วย
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,251วันที่ 9 - 12 เมษายน พ.ศ. 2560